เมื่อวานนี้มีกระแสข่าวที่น่าสนใจว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
นอกจากจะมีโครงการ Digital Wallet แล้ว
ยังมีแนวคิดการฟื้นกองทุนเพื่อการลงทุนระยะยาวในรูปแบบของ "กองทุนวายุภักษ์"
เพื่อเป็นการเติมเงินเข้าไปในตลาดทุน ให้เกิดการหมุนเวียนอีกครั้ง
ถึงแม้ ณ ตอนนี้จะยังไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก แต่สิ่งที่พอจะเล่าได้ คือ
กองทุนจะแบ่งออกเป็น 2 หน่วย ประกอบไปด้วย
- หน่วย ก. สำหรับนักลงทุนทั่วไป มูลค่ากองทุน 1.5 แสนล้านบาท
- หน่วย ข. สำหรับกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นๆ มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของหน่วยลงทุน หน่วย ก. หรือ กองทุนที่ประชาชนลงทุนนั้น
จะกำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำ และขั้นสูง ซึ่งเป็นการประกันผลตอบแทนให้กับประชาชน
ขณะที่หน่วย ข.ไม่มีการประกันผลตอบแทน
โดยกองทุน หน่วย ก. จะได้รับผลตอบแทนก่อนประเภท ข.
โดยผลตอบแทนของประชาชน จะต้องไม่ต่ำกว่า 3 %
แหล่งข่าวหลายแห่งกล่าวตรงกันว่า
ข้อสรุปนี้น่าจะชัดเจนขึ้นในไตรมาส 3 ของปีนี้ ..
- สรุปกองทุน ThaiESG ช่วยตลาดหุ้นไทยได้มากแค่ไหน ?
- รู้จัก 2 กฏเกณฑ์ใหม่ลดความผันผวนหุ้นไทย นักลงทุนกำลังมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- การซื้อหุ้นคืน มีข้อดีมากแค่ไหน บริษัทจดทะเบียนไทยซื้อหุ้นคืนมากกว่าปกติ
กองทุนรวมวายุภักษ์ ก่อตั้งในปี 2546 โดยกระทรวงการคลัง
ในยุคของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายการลงทุนในลักษณะการลงทุนเชิงรุก ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน 325,091 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการจัดการ 50% ระหว่างเป็นผู้จัดการกองทุน จำนวน 2 ราย คือ
- บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
- บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
ถ้าเราไปดูเม็ดเงินจาก "กองทุนวายุภักษ์ 1" จะประกอบไปด้วย
- หุ้น PTT สัดส่วน 36.3%
- หุ้น SCB สัดส่วน 24.3%
- หุ้น TTB สัดส่วน 4.9%
- หุ้น BCP สัดส่วน 3.5%
- หุ้น KTB สัดส่วน 3.3%
- หุ้น AOT สัดส่วน 1.8%
- หุ้น ADVANC สัดส่วน 1.6%
- หุ้น GULF สัดส่วน 0.9%
- หุ้น SCC สัดส่วน 0.9%
- หุ้น BDMS สัดส่วน 0.9%
ในหุ้น 10 ตัว แรก กองทุนถือรวมกันในสัดส่วนกว่า 78.3%
ซึ่งถ้าเรายึดตามสถิติ มีโอกาสสูงมากที่เม็ดเงินจะไหลเข้าหุ้นดังกล่าวมากกว่าตัวอื่น
สิ่งที่เห็นได้ชัดตอนนี้ คือ มาตรการ "พยุงหุ้น" มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ
และประเด็นล่าสุด คือ กองทุนรวมวายุภักษ์
ไม่แน่ว่า การเข้ามาของกองทุน ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง
และก็จะกลับมาเป็นขาขึ้น ได้ในท้ายที่สุด
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส