มีความชัดเจนแล้วสำหรับกองทุน ThaiESG สำหรับเพื่อการลงทุนและการลดหย่อนภาษีสำหรับนักลงทุน
โดยสาระสำคัญ คือ
- ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 3 แสนบาท (จากเดิม 1 แสนบาท)
- ถือครอง 5 ปี (จากเดิมไม่น้อยกว่า 8 ปี)
- สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะต้องเป็นหุ้นและตราสารหนี้
แตกต่างจาก LTF อย่างชัดเจนที่ต้อง ลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท และต้องถือครอง 7 ปีปฏิทิน
Thai ESG หรือ Thailand ESG Fund คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ซึ่งมีสิทธิพิเศษให้ผู้ลงทุนสามารถนำจำนวนเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเหมือนกับการลงทุนใน RMF, SSF, SSFX หรือ LTF ที่ออกมาก่อนหน้านี้
นโยบายการลงทุนของ Thai ESG กำหนดให้สามารถลงทุนในหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทย ที่ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน ตามหลัก ESG ซึ่งประกอบด้วยมิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) อาทิ หุ้นไทยยั่งยืน SET ESG Ratings หรือตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน ESG Bond
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้มีการจัดทำดัชนีหุ้นยั่งยืนที่เรียกว่า SET ESG Ratings สำหรับประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียนไทย
ขณะที่ ESG Bond มีรูปแบบคล้ายกับตราสารหนี้ปกติทั่วไป ต่างกันที่วัตถุประสงค์ของการระดมทุนที่ต้องการนำเงินไปใช้เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้แนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งตอบโจทย์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) สังคม (Social Bond) และความยั่งยืน (Sustainability Bond)
- สรุปกลยุทธ์ลงทุน 3Q67 ทำอย่างไร เมื่อหุ้นไทยไม่วิ่งตามเพื่อนบ้าน ?
- ทำไมโรงงานในไทยปิดตัวอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้กำลังบอกอะไรเรา ?
- อธิบาย Uptick Rule แบบเข้าใจง่ายๆ
คำถามสำคัญ คือ กองทุน ThaiESG จะช่วยตลาดหุ้นไทยได้แค่ไหน ?
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส ได้วิเคราะห์กองทุน ThaiESG ออกเป็น 3 ข้อด้วยกัน คึอ
1. ระยะเวลาถือครอง 5 ปี ถือว่าไม่นาน และกระจายตัวซื้อในเวลาไหนของปีก็ได้
จากเดิมกองทุน LTF จะมีระยะเวลาถือครอง 7 ปีปฏิทิน และเม็ดเงินจะซื้อกระจุกตัวในเดือนธันวาคม
ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา แรงซื้อกว่า 45% มาในเดือนธันวาคม และ 65% มาในเฉพาะไตรมาส 4
ในขณะที่กองทุน ThaiESG จะถูกกระจายตัวซื้อไปตลอดปี และอาจจะช่วยพยุงตลาดได้ดีในช่วงที่หุ้นตกหนัก
2. หนุนกองทุนหันมาลงทุนหุ้นไทยมากขึ้น
ในอดีตที่ผ่านมา หลัง LTF หมดสิทธิในการลดหย่อนภาษี
นักลงทุนไทยหันไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น จากเดิม 743 กองทุน เพิ่มเป็น 1,174 กองทุน หนุนเม็ดเงินสูงถึง 1 แสนล้านบาท
แต่หลังจาก ThaiESG เข้ามา และหุ้นไทยย่อตัวลงมามาก ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะช่่วยให้นักลงทุนสลับเงินเข้ามาซื้อหุ้นไทยบ้าง พร้อมแรงจูงใจในเรื่องการประหยัดภาษี
3. คาดเงินเข้าตลาดหุ้นไทย 7 หมื่นล้านบาท หนุนหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี
หลายๆครั้ง เรามักจะถกเถียงว่าตอนปิดไตรมาส จะมีการทำ Window Dressing หรือไม่ ?
Window Dressing คือ ความเชื่อที่ว่านักลงทุนสถาบันจะทำการผลักดันราคาหุ้นในกองทุนที่ตนเองถืออยู่ให้มีราคาสูงขึ้น
เพราะหากราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นก็จะส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นตาม และทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุน (NAV) ออกมาดีด้วย
ถ้ากองทุน ThaiESG เข้ามา จะช่วยให้กองทุนกลับมาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น
จากต้นปี 2567 ที่ผ่านมา กองทุนไทยซื้อสุทธิหุ้นไทยน้อยมาก เพียง 4.8 พันล้านบาท และมีการถือเงินสดสูงถึง 10%
การที่กองทุน ThaiESG จะหนุนให้กองทุนทำ Window Dressing มากขึ้น และพลิกกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า เม็ดเงินของ ThaiESG จะใกล้เคียงกับ LTF ที่อยู่ราวๆ 6-7 หมื่นล้านบาท
และเม็ดเงินทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะทำให้ SET Index ขยับขึ้นได้ราวๆ 2%
ฝ่ายวิจัยสรุปว่า ThaiESG ถือเป็น "พระเอก" พลิกเกมหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี
อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตาม คือ กองทุน ThaiESG ประเภทตราสารหนี้
ถ้ามีกองทุนประเภทนี้เยอะ ก็อาจจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยไม่สูงเท่าที่ควร
คำถามสุดท้าย กองทุน ThaiESG ถ้าเข้ามาจริงๆ จะทำให้หุ้นไทยบวกได้กี่จุด ?
จากการศึกษาพบว่า เงินลงทุนใน LTF ทุก 10,000 ล้านบาท จะส่งผลต่อ SET Index 25-27 จุด
เรียกได้ว่ากองทุน ThaiESG เข้ามาได้ถูกจังหวะและเหมาะสมพอดี
ในช่วงที่หุ้นไทยไม่แพง เหมาะแก่การสะสม ลงทุน และประหยัดภาษีไปด้วยในเวลาเดียวกัน
------------------------------------------------------------------------------
Reference
BT beartai