ต้องยอมรับว่าหุ้นโลกที่ผ่านมา อยู่ในธีมของการ "ฟื้นตัว" และบางตลาดพุ่งขึ้นทำ "จุดสูงสุดใหม่"
แตกต่างจากตลาดหุ้นไทยที่ทำจุดต่ำสุดในรอบหลายปี กลายมาเป็นตลาดหุ้นยอดแย่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากสาเหตุหลายประการ เช่น ปัจจัยภายในประเทศที่ไม่เอื้อต่อการเติบโต ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ได้โตมาก
ปัญหาการ Short Sell และปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาเรื่องของ "ความเชื่อมั่น" ที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ งบของบริษัทจดทะเบียนที่มีปัญหา
หรือแม้กระทั่งผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศลาออก เป็นการสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก
![](https://cdn.stock2morrow.com/images/r0qWE/1718766685097.png)
ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี ให้ผลตอบแทน -8.36%
https://www.tradingview.com/symbols/SET-SET/
คำถาม คือ เข้าสู่ไตรมาส 3 ปี 2567 นักลงทุนอย่างเราจะปรับกลยทุธ์การลงทุน หรือมีมุมมองต่อการลงทุน อย่างไรดี ?
คำตอบสั้นๆที่พอจะอธิบายได้ คือ ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ออกบทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนประจำไตรมาส 3
โดยจั่วหัวไว้ว่า "โลกฟื้นตัว ไทยฟื้นตาม" และใจความสำคัญ กล่าวไว้ว่า
ผลตอบแทนระดับสูงของตลาดสหรัฐฯ และหุ้นเติบโตเมื่อเทียบกับหุ้นคุณค่าและหุ้นเทคฯ ไม่ใช่ผลที่เกิดจากความคาดหวังที่สูงเกินไปอย่างไร้เหตุผล
แต่สะท้อนถึงความแตกต่างค่อนข้างมากของการเติบโตของกำไร เราคาดว่ากำไรของตลาด EM ทำจุดต่ำสุดแล้วใน 1Q24 และจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q24
... ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจีนและไทยจะลดช่องว่างที่มีกับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปในแง่ของ price performance ลงได้ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตของกำไร
พร้อมสรุปใจความสำคัญ 8 ข้อด้วยกัน ประกอบไปด้วย
1. สัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียง
เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในหลายๆ ภูมิภาค ขณะที่ภาคการผลิตก็ฟื้นตัวขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเอเชียฟื้นตัวชัดเจนคล้ายในช่วงปี 2016-18 ไม่ว่าจะวัดจาก PMI MPI และส่งออก และจะกินเวลาประมาณ 2 ปี ฉะนั้น จึงเป็นไปได้ว่าภาคการผลิตเอเชียจะฟื้นตัวถึงปลายปีนี้-ต้นปีหน้าเป็นอย่างน้อย
2. การชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจทำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยใน 4Q24
เศรษฐกิจสหรัฐฯ แสดงสัญญาณชะลอตัว ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงและส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต
ฝ่ายวิจัยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการผลิตและภาคตลาดแรงงาน ซึ่งจะกระตุ้นให้เฟดลดดอกเบี้ย
3. เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในเชิงวัฏจักร แต่ชะลอลงเชิงโครงสร้าง
ฝ่ายวิจัยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในเชิงโมเมนตัม โดยตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดส่งสัญญาณภาคการผลิตและภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.5% ในปี 2024 และ 3.0% ในปี 2025 ความเสี่ยงเศรษฐกิจจะอยู่กับประเด็นการเมืองเป็นสำคัญ เช่น งบประมาณปี 2025 ที่อาจล่าช้าออกไปอย่างน้อย 2 ไตรมาสซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อการบริโภคภายในประเทศ
4. ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะแย่ลงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะเสื่อมถอยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง ซึ่งจะส่งผลทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะส่งผลลบต่อตลาด
5. ทิศทางเศรษฐกิจมหภาคกำลังจะเปลี่ยนไป
แนวโน้มการเติบโตของ GDP และผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 ตลาดคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเลื่อนออกไปจนถึง 2H24
ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์และ yield มีเสถียรภาพใน 2H24 ผลประกอบการจะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
เนื่องจาก valuation ดูเหมือนจะสะท้อนถึงระดับที่เหมาะสมแล้วสำหรับตลาดเอเชีย สิ่งที่จะเกิดขึ้นคล้ายกันสำหรับตลาดเอเชีย คือ การอ่อนค่าของสกุลเงิน
6. โลกฟื้นตัว เอเชียและไทยฟื้นตาม
ผลตอบแทนระดับสูงของตลาดสหรัฐฯ และหุ้นเติบโตเมื่อเทียบกับหุ้นคุณค่าและหุ้นเทคฯ ไม่ใช่ผลที่เกิดจากความคาดหวังที่สูงเกินไปอย่างไร้เหตุผล (irrational exuberance) แต่สะท้อนถึงความแตกต่างค่อนข้างมากของการเติบโตของกำไร
ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรของตลาด EM ทำจุดต่ำสุดแล้วใน 1Q24 และจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q24 เราเชื่อว่าจีนและไทยจะลดช่องว่างที่มีกับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปในแง่ของ price performance ลงได้ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตของกำไร
7. มุ่งสู่เป้าหมาย ดัชนี SET Index 1500 จุด
หุ้นเติบโตจะปรับตัวขึ้นช้ากว่าหุ้นคุณค่าและหุ้นวัฏจักรไม่รวมกลุ่มเทคฯ ตลาดหุ้นไทยอ่อนแอ แต่สามารถฟื้นตัวได้หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมและการฟื้นตัวของผลประกอบการ ข่าวการเมืองและเศรษฐกิจอาจช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 3Q24
ฝ่ายวิจัยคาดว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นและแตะระดับ 1,500 จุดภายในสิ้นปี 2024
8. โฟกัสที่การฟื้นตัวของผลประกอบการ
ฝ่ายวิจัยชอบบริษัทที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน
ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงเลือก ADVANC KCE OSP PTTGC และ TU เป็นหุ้นเด่นใน 3Q24
กดอ่านเพิ่มเติมและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก : INVX STRATEGY กลยุทธ์การลงทุน 3Q24 - โลกฟื้นตัว ไทยฟื้นตาม