#แนวคิดด้านการลงทุน

"แตกพาร์" วิธีที่ทำให้หุ้นสะท้อนมูลค่า แต่ทำไมนักลงทุนถึงมองว่าไม่เหมาะสม ?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
3,031 views

ในการศึกษาวิเคราะหพื้นฐาน มีตัวเลขอยู่ตัวหนึ่งที่นักลงทุนไม่ได้สนใจมากสักเท่าไร คือ "ราคาพาร์"
ราคาพาร์ ในความหมาย คือ ราคาที่เอาไว้บอกทุนเริ่มต้นของบริษัทเมื่อตอนจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ 
หรือให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ "ราคาต้นทุนเริ่มต้นของบริษัท"
นักลงทุนมักจะเข้าใจว่า ราคาพาร์ คือต้นทุนของเจ้าของ หรือผู้ก่อต้ัง ... 
- หุ้น CPALL ราคาพาร์ 1 บาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 55 บาท
- หุ้น PTT ราคาพาร์ 1 บาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 32 บาท
- หุ้น SCC ราคาพาร์ 1 บาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 223 บาท
- หุ้น EGCO ราคาพาร์ 10 บาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 99 บาท

ประเด็นสำคัญ คือ ราคาพาร์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นที่ใช้ซื้อขายในตลาด
อีกทั้งไม่ได้เป็นตัวบอกว่าเป็นหุ้นถูกหรือแพง หุ้นดีหรือไม่ดี 
แต่มักจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นอยุ่บ่อยๆ คือ เรื่องของการแตกพาร์

แตกพาร์หุ้น หรือ Stock Split คือ การทำให้ราคาหุ้นลดลง แต่เป็นการเพิ่มจำนวนมากขึ้น
พูดง่ายๆ คือ การทำให้หุ้นขนาดใหญ่ มีขนาดที่เล็กลงเพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่อง เพิ่มโอกาสในการเข้าถึง
แต่ถ้าเราเอาราคาพาร์ มาคูณด้วยจำนวนหุ้น ก็จะได้มูลค่าเท่าเดิมก่อนแตกพาร์ 
ตัวอย่างเช่น หุ้น PTT ในอดีตมีราคาพาร์ที่ 10 บาท และราคาหุ้นอยู่ที่ 300 บาท 
ถ้านักลงทุน A มีหุ้น PTT อยู่ 1,000 หุ้น ที่ราคา 300 บาท (มูลค่าเงินลงทุน 3 แสนบาท)
ถ้า PTT ประกาศแตกพาร์ จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท
จะทำให้นักลงทุน A มีหุ้น PTT หลังการแตกพาร์อยู่ที่ 10,000 หุ้น ที่ราคา 30 บาท 
ซึ่งมูลค่าเงินลงทุนยังคง 3 แสนบาทเท่าเดิม แต่นักลงทุน A จะมีหุ้นจำนวนมากขึ้น

 

สรุปง่ายๆ คือ เมื่อหุ้นแตกพาร์ จะส่งผลต่อหุ้น 3 ข้อด้วยกัน คือ 
1. จำนวนหุ้นมากขึ้น
2. ราคาหุ้นลดลง เปิดโอกาสให้ซื้อขายง่ายขึ้น
3. มุลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap.) ยังคงเท่าเดิม

ประเด็นสำคัญ อยู่ที่ข้อ 2 คือ ราคาหุ้นที่ลดลง เป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงได้มากขึ้น
และเมื่อนักลงทุนเข้าถึงมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะสะท้อนมูลค่าที่ควรจะเป็นได้ดียิ่งขึ้น นั้นเอง 
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ หุ้น PTT 
หุ้น PTT ในอดีตมีราคาพาร์อยู่ที่ 10 บาท ราคาซื้อขายจะอยู่บริเวณ 250 - 300 บาท มานานหลายปี 
ด้วยการที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ นักลงทุนต้องซื้อขั้นต่ำ 100 หุ้น ที่ราคา 250 บาท ต้องใช้เงินมากเป็นการปิดโอกาสสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่ได้มีเงินลงทุนสูงมากไม่สามารถซื้อหุ้น PTT ได้ 
หุ้น PTT จึงนิยมในหมู่นักลงทุนสถาบัน กองทุนมากกว่า
เมื่อปริมาณการซื้อขายไม่มากพอ การจะดันราคาหุ้นให้ผ่าน 300 บาท จึงเป็นเรื่องที่ยาก ...

 

แต่แล้วหุ้น PTT ประกาศแตกพาร์ จาก 10 บาท เป็น 1 บาท จากราคาหุ้น 300 บาท เหลือ 30 บาท ในวันที่ 24 เมษายน 2561
ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลต่อพื้นฐานหุ้น แต่ในแง่จิตวิทยาและการเข้าถึงแล้ว PTT เข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีสภาพคล่องมากขึ้น
นักลงทุนรายย่อยที่ไม่ได้มีขนาดพอร์ตใหญ่ ก็สามารถเข้าซื้อหุ้น PTT ได้ ราคาหุ้น PTT สามารถผ่านทะลุ 400 บาท ได้ไม่ยาก
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการแตกพาร์ ในเชิงจิตวิทยา ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพื้นฐาน แต่การซื้อง่ายขายคล่องก็ทำให้นักลงทุนอยากได้มาเป็นเจ้าของ ด้วยเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนอาจจะมองว่าการแตกพาร์ "มีความไม่เหมาะสม"
เพราะการที่รายย่อยเข้าถึงง่าย มักจะตามมาด้วยการเก็งกำไร ทำให้ราคาหุ้นผันผวนมากกว่าปกติ
อีกทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีราคาซื้อขายสูง ควรจำกัดให้ซื้อได้สำหรับนักลงทุนสถาบัน 
และนักลงทุนที่มีพอร์ตขนาดใหญ่เพื่อลดความผันผวน
อีกทั้งในอดีตที่ผ่านมา หุ้นที่ประกาศแตกพาร๋ มักจะพุ่งขึ้นในช่วงแรก และลดลงมาในช่วงหลัง 
ซึ่งการตกลงของราคาหุ้น ต่ำกว่าที่ตอนก่อนจะแตกพาร์ด้วยซ้ำ
เช่น ในปี 2565 มีหุ้นที่ประกาศแตกพาร์ 12 บริษัทด้วยกัน 
ด้วยค่าเฉลี่ยหลังผ่านไป 3 เดือน หุ้นที่ประกาศแตกพาร์จะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -7% 
ซึ่งเหตุผลจะชี้ไปที่ว่า เมื่อหุ้นประกาศแตกพาร์ ราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นก่อน 
และจะเข้าสู่จุดพีคในวันที่ซื้อขายพาร์ใหม่ หลังจากนั้นหุ้นที่ประกาศแตกพาร์มีโอกาสจะจบรอบอย่างน้อยในระยะสั้น หลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของหุ้น 
พูดง่ายๆคือ โดยส่วนใหญ่แล้วหลังการแตกพาร์ สภาพคล่องของหุ้นจะเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ความนิยมหรือการกลับมาน่าสนใจในการเก็งกำไรอาจจะลดน้อยลง

 

แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป หุ้นที่แตกพาร์แล้วประสบความสำเร็จ ราคาหุ้นพุ่งต่อก็มีให้เห็น 
ตัวอย่างเช่น GULF ที่มีราคา IPO 45 บาท และราคาพาร์ 5 บาท 
แต่ในวันที่ 16 เมษายน 2563 มีการประกาศแตกพาร์ 5 บาท เป็น 1 บาท 
ทำให้ราคาเหลือจาก IPO ที่ 9 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 40 บาท
หรืออย่างกรณีของ CPN ที่เคยมีราคาพาร์ 10 บาท ก็เปลี่ยนมาเป็น 1 บาทในภายหลัง 
แต่หุ้นก็ยังสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นทุกๆปี

ดังนั้น เราจึงสรุปได้ว่า หุ้นที่มีสภาพคล่องมากขึ้นทำให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น 
โดยธรรมชาติแล้วราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่ายุติธรรมได้ง่ายกว่าการที่มีคนกลุ่มน้อยเข้ามามีส่วนร่วม
ซึ่งถ้าหุ้น Undervalue ราคาหุ้นหลังจากแตกพาร์มีโอกาสที่จะไปในทิศทางเชิงบวก
ในทางกลับกัน ถ้าหุ้น Overvalue อาจถูกกดดันให้ราคากลับลงมา ....

 

 

อ่านมาถึงตรงนี้ ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจว่า แล้วสำหรับหุ้น SCC ละ ? 
เพราะนักลงทุนที่ติดตามตลาดจะรู้ว่า หุ้น SCC ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด 
โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น -25%
หรือถ้ามองไกลกว่านั้น จะพบว่าราคาหุ้น -32% ในรอบ 12 เดือน 
ซึ่งประเด็นสำคัญ คือ ผลประกอบการที่ไม่ได้ออกมาดีเท่าไรนักในช่วงที่ผ่านมา
- กำไรสุทธิที่ฟื้นตัวช้ามาก 
- ธุรกิจโอเลฟินส์ ที่ยังไม่ฟื้นตัว 
- ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ฟื้นตัวช้า
- ธุรกิจปูนซีเมนต์ ที่ยังไม่โดดเด่น
จากเหตุผลที่กล่าวมา ประกอบกับราคาหุ้นที่มูลค่าสูง ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงยาก 
มีแต่นักลงทุนต่างประเทศ สถาบัน และกองทุนไทย ที่มีหุ้น SCC ต่างเทขายลงมา ทำให้หุ้นปรับตัวลดลงมาก
และหุ้น SCC ก็มีสัดส่วนต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เลยไม่แปลกใจที่หุ้นไทยจะเกิดอาการ "ย่ำแย่" ตามลงไปด้วย

ดังนั้น เพื่อเป็นการดี SCC อาจจะต้องถึงเวลาคิดเรื่องของการแตกพาร์หุ้น เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงได้ สะท้อนมูลค่าที่ควรจะเป็นได้ดีกว่าเดิม
เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับ PTT มาแล้ว ...

 

ราคาหุ้น SCC ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงไปแล้ว 32% 
https://www.tradingview.com/symbols/SET-SCC/

------------------------------------------------------------------------------
Reference
SET Invest Now

ทันหุ้น

ข่าวหุ้นธุรกิจ

Krungsri The COACH


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง