ถ้าสมมุติเราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง แล้วขาดทุน ทางเลือกของเรา คือ
1. ถือหุ้นนั้นจนกว่าจะกำไร แล้วค่อยขายออกไป
2. ยอมตัดขาดทุน แล้วไปหาโอกาสกับหุ้นตัวใหม่
แล้วถ้าสมมุติเรามีทางเลือกที่ 3 คือ
ขายคืนให้กับบุคคลหนึ่งซึ่งสูงกว่าราคาตลาดถึง 2 เท่า คงจะดีไม่ใช่น้อย เหมือนเป็นการ "รับประกัน" ว่าเรามีโอกาสขาดทุนก็จริง
แต่ก็มั่นใจได้ว่า จะไม่ขาดทุนไปมากกว่านี้ เพราะอย่างน้อยเราก็มีสัญญาขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าตลาดถึง 2 เท่าอยู่ดี
สิ่งที่เล่ามาทั้งหมด ได้เกิดขึ้นจริงๆสำหรับหุ้น SINGER และ RABBIT ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ ?
เรื่องราวเป็นอย่างไร อยากสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่ายแบบนี้ครับ
RABBIT คือบริษัทในเครือของ BTS (ถือหุ้น 35%) แต่เดิมทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม แต่พอเกิดวิกฤตโควิด
ทำให้ RABBIT ต้องปรับโครงสร้างใหม่หันมาทำธุรกิจธุรกิจประกันชีวิต และธุรกิจบริหารสินทรัพย์มากขึ้น
รวมถึงการไป "ถือหุ้น" ในบริษัทอื่นๆ โดยเฉพาะ SINGER และ JMART
โดย RABBIT ถือหุ้น SINGER อยู่ 23.75%
และถือหุ้น JMART อยู่ 10.21%
ซึ่งหุ้น SINGER และ JMART ก็เป็นของคุณอดิศักดิ์ ด้วยนั่นเอง
ประเด็นอยู่ตรงที่ RABBIT เคยมีข่าวเรื่องของการซื้อหุ้น SINGER ที่ราคา 36.30 บาทต่อหุ้น
ทุกอย่างไปได้ดี เพราะหุ้น SINGER ยังวิ่งขึ้นต่อเนื่องเพราะผลประกอบการดี
จนกระทั่งหุ้น SINGER เริ่มแย่ลงจากธุรกิจที่หดตัวลงอย่างมาก
SINGER มีธุรกิจที่โตเร็วมากๆ อย่างธุรกิจสินเชื่อ และธุรกิจสินเชื่อนี้เองที่กดดันผลประกอบการของบริษัท
บริษัทปล่อยกู้ไป ได้กลายเป็นหนี้เสียจำนวนมาก
จนต้องนำหนี้เสียเหล่านี้ มาตั้งสำรองเป็นค่าใช้จ่ายของมหาศาล
ปี 2566 SINGER รายงานผลขาดทุนหนักถึง 3.21 พันล้านบาท
สอดคล้องกับราคาหุ้น SINGER ตกลงมาต่ำกว่า 10 บาท จนปัจจุบันซื้อขายกันที่ราคา 9.75 บาทต่อหุ้น
การที่ราคาหุ้น SINGER ร่วงอย่างหนัก ส่งผลกระทบมายังหุ้น RABBIT ที่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งการขาดทุนเข้ามาด้วย
จากรายงานผลประกอบการ RABBIT ได้บันทึกผลขาดทุนจาก
1. การด้อยค่าเงินลงทุนใน SINGER จำนวนทั้งสิ้น 2,372 ล้านบาท
2. ส่วนแบ่งการขาดทุนจาก SINGER มาอีก 795 ล้านบาท
และยังกระทบต่อไปยัง BTS เป็นทอดๆ ที่ถือหุ้น RABBIT อยู่ 35% อีกด้วย
แต่แล้ว RABBIT ได้ทำสัญญาขายหุ้น SINGER ให้แก่คุณอดิศักดิ์ ในราคาหุ้นละ 20 บาท 195 ล้านหุ้น รวมเป็นจำนวน 3,900 ล้านบาท
โดยดีลนี้มี 2 ใจความสำคัญ คือ
1. หากคุณอดิศักดิ์ ไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดภายในระยะเวลา 3 ปี ของสัญญา คุณอดิศักดิ์ต้องชำระค่าปรับให้แก่ RABBIT 400 ล้านบาท
2. หากราคาตลาดของหุ้นที่ซื้อขายสูงกว่า 20 บาท เป็นเวลา 5 วัน RABBIT มีสิทธิ์ขายหุ้นที่ถูกปฏิเสธให้แก่บุคคลภายนอก
คำถาม คือ การขายคืนครั้งนี้ของ RABBIT จะส่งผลดีอย่างไร ต่อตัว RABBIT เอง
ถ้าราคาหุ้นยังตกต่ำ และคุณอดิศักดิ์ ไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดภายใน 3 ปี เท่ากับว่า RABBIT จะได้เงิน 400 ล้านบาทมาแบบฟรีๆ
ในเวลาเดียวกัน ช่วงระยะเวลา 3 ปี มันก็มากเพียงพอที่จะทำให้บริษัทหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
ไม่แน่ว่า SINGER ผลประกอบการอาจจะกลับมาและเติบโตอย่างเด่นชัด ราคาหุ้นอาจจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือ 20 บาท
RABBIT ก็มีโอกาสขายหุ้นให้กับบุคคลภายนอก (ถึงแม้จะขาดทุนไปบ้าง)
แต่อย่างน้อย RABBIT และ SINGER ก็จะได้ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับคืนมา โดย RABBIT ก็จะไม่ต้องขายของถูกเกินไป
ประเด็นสำคัญ คือ คุณอดิศักดิ์ ...
เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าคุณอดิศักดิ์ คิดอะไรอยู่ แต่ถ้าวิเคราะห์กันตามที่เห็น คือ
คุณอดิศักดิ์ ต้องการแสดงความมั่นใจต่อหุ้น SINGER ที่ตัวเองเป็นเจ้าของอยู่ว่า "ราคาหุ้นจะกลับขึ้นไปได้อีกครั้ง"
และมั่นใจมากๆถึงกับยอมรับซื้อที่ราคาสูงกว่าตลาด และยอมจ่ายค่าปรับ
ในอีกแง่หนึ่ง มูลค่าทางบัญชีของหุ้น SINGER อยู่ที่ 17 บาท การที่คุณอดิศักดิ์ ยอมซื้อคืนที่ 20 บาท
เท่ากับว่ายอมซื้อที่ P/BV Ratio 1.17 เท่า ซึ่งถือว่าไม่ได้แพงเลยถ้าว่ากันตามหลักบัญชี
- ธุรกิจเบียร์ของ CBG กับ อาจจะไม่ได้เติบโตอย่างที่คิด
- TIDLOR กับการเติบโตที่พอดี หุ้นที่ได้รับอานิสงค์จากวัฏจักรดอกเบี้ย "ขาลง"
- เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าหุ้นไหนถูก Corner ?
สุดท้าย ไม่รู้ว่าดีลนี้จะจบลงอย่างไร
คุณอดิศักดิ์ อาจจะต้องซื้อหุ้น SINGER คืนทั้งหมดที่สัญญากับทาง RABBIT เอาไว้
หรือเลือกที่จะยอมเสียค่าปรับ 400 ล้านบาท ก็ต้องติดตามกันต่อไป
แต่ ณ เวลานี้ ผู้ถือหุ้น BTS และ RABBIT ดูน่าจะลำบากที่สุด
เพราะราคาหุ้นต่างก็ทำ New Low ไปแล้วเรียบร้อย