เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก "แซนวิชอบร้อน" ที่วางขายอยู่ใน 7-Eleven ทั่วประเทศ
ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นของ NSL หรือ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จํากัด (มหาชน)
ถ้าใครติดตามราคาหุ้นจะพบว่า ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากราวๆ -20% ภายใน 12 เดือน
ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานที่ดูดีขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 151 ล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 191 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 297 ล้านบาท
ปี 2566 ผลประกอบการ 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท
และมีอัตรากำไรสุทธิจากเดิมราวๆ 6% ก็เพิ่มเป็น 7-8% เข้าไปแล้ว
ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น NSL
และถ้าบริษัทยังมีพื้นฐานดีอยู่ จังหวะนี้เป็นโอกาสหรือความเสี่ยง กันแน่ ?
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สาเหตุที่หุ้นลงน่าจะมาจากเรื่องของตลาดหุ้นไทยที่ลงติดต่อกันมาอย่างยาวนาน
สภาพแวดล้อมของหุ้นไทยที่ไม่เอื้ออำนวย เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้น NSL ปรับตัวลง
อีกทั้งปริมาณการซื้อขายหุ้น NSL อยู่ระดับ 2-3 แสนหุ้นต่อวัน ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการควบคุมราคาหุ้นได้ง่ายเช่นเดียวกัน
- NSL แซนวิชอบร้อน สามพันล้าน
- ซื้อหุ้นต่ำ P/BV ต่ำกว่าเจ้าของ อาจจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป
- KEX และ JMART กำลังทำให้ราคาหุ้น VGI วิกฤต !!
แต่ถ้าเราพูดถึงเฉพาะเรื่องของ "ปัจจัยพื้นฐาน" เพียงอย่างเดียว
จะพบว่า ยังโดดเด่น และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟินันเซีย วิเคราะห์ว่า
นักลงทุนจะเห็นกำไรใน 4Q66 ของ NSL แตะระดับจุดสูงสุดใหม่
โดยฝ่ายวิจัยคาดว่า กำไรสุทธิใน 4Q66 น่าจะอยู่ราวๆ 85 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต +16% QoQ และ +9% YoY
จากยอดขายที่เติบโตแข็งแกร่ง อัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัว และการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ได้รับการตอบรับดี
พูดง่ายๆ คือ ธุรกิจหลักของ NSL ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
สำหรับในปี 2567 บริษัทคาดว่า รายได้น่าจะเติบโตได้ประมาณ 20% YoY จาก 3 เหตุผลหลักด้วยกัน คือ
1. ธุรกิจเบเกอรี่ที่เติบโตต่อเนื่อง ตามการขยายสาขาของ 7-Eleven
2. การส่งออกที่เพิ่มขึ้น
3. การเติบโตจากรายได้สินค้าแบรน์ของตัวเอง เช่น Natural Bites, ข้าวแท่ง, ปังไท
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยมองว่า ในปี 2567 บริษัทน่าจะมีกำไรสุทธิ 383 ล้านบาท เติบโต 21% YoY
และในปี 2568 บริษัทน่าจะมีกำไรสุทธิ 425 ล้านบาน หรือคิดเป็นการเติบโตราวๆ 11% YoY
ฝ่ายวิจัยยังเน้นย้ำอีกด้วยว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น NSL การเติบโตที่ชัดเจนควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนได้ดี
ปัจจุบัน ราคาหุ้นซื้อขายที่ P/E Ratio ราวๆ 14 เท่า และ Dividend Yield สูงถึง 3%
ทำให้ฝ่ายวิจัยกลับมาชอบ NSL มากขึ้น
NSL คือบทสรุปของหุ้นพื้นฐานดี และศักยภาพของบริษัทที่ยังเติบโตต่อไปได้
แต่ด้วยสภาวะตลาดหุ้นไทยที่ไม่เอื้ออำนวย ก็สามารถปรับตัวลงได้ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น จังหวะของการปรับฐานราวๆ 20% ในรอบ 12 เดือน เราอาจจะมองเป็นโอกาส
และนำหุ้นกลับไปเป็น Wishlist ศึกษาทำการบ้านให้เข้าใจในตัวธุรกิจของ NSL มากขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามครับ
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟินันเซีย