อาหารที่ขายดีที่สุดใน 7-Eleven คืออะไร ?
เชื่อว่ามีคำตอบอยู่จำนวนมาก แต่หนึ่งในอาหารที่ขายดีที่สุด ก็คือ "แซนวิชอบร้อน" ที่คนมักจะเรียกติดปากว่า "แซนวิชเซเว่น"
ซึ่งจริงๆแล้วแซนวิชอบร้อนถูกผลิตขึ้นโดย NSL หรือ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จํากัด (มหาชน)
แรกเริ่มของ NSL มาจากธุรกิจอาหารแช่แข็งที่เรียกได้ว่า "มาก่อนกาล"
คือ มาเร็วในขณะที่ผู้บริโภคยังปรับตัวไม่ทัน เลยไม่ได้รับความนิยม (ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่คนนิยมทานอาหารแช่เย็น แช่แข็งมากขึ้น)
สุดท้าย NSL เลยหันมาพัฒนาอาหารประเภท “เบเกอรี่” และก็กลายมาเป็น "แซนวิชเซเว่น" ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน NSL มีรายได้จากมาจาก 5 กลุ่มหลัก คือ
1. กลุ่มเบเกอร์รี่และรองท้อง สัดส่วนรายได้ 91%
2. Food Services สัดส่วนรายได้ 7%
3. กลุ่มแบรนด์ของ NSL และซื้อมาขายไป สัดส่วนรายได้ 0.8%
4. OEM, ขายเศษขนมปัง และอื่นๆ สัดส่วนรายได้ 0.9%
5. รายได้อื่น สัดส่วนรายได้ 0.2%
ผลประกอบการที่ผ่านมาของ NSL
ปี 2562 บริษัทมีรายได้ 3.37 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 156.3 ล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 2.92 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 151.4 ล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 3.04 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 191.1 ล้านบาท
และปี 2565 ผลประกอบการ 9 เดือน บริษัทมีรายได้ 2.94 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 219.8 ล้านบาท
เท่ากับว่าอัตรากำไรสุทธิของบริษัทจะอยู่ราวๆ 6-7%
จุดที่น่าสนใจของ NSL ที่น่าจับตา คือ การเติบโตไปพร้อมกับการขยายสาขาของ 7-Eleven ซึ่งถือเป็นรายได้หลักและมีสัดส่วนธุรกิจและอาหารรองท้อง คิดเป็น 91% ของรายได้ทั้งหมด โดยทาง NSL มีการทำสัญญา MOU กับทาง CPALL จนถึงปี 2569 ว่าจะยังคงสินค้าไปขายผ่าน 7-Eleven ผ่านช่องทางต่างๆรวมถึงการรุกต่างประเทศของ CPALL ทาง NSL ก็สามารถส่งเบเกอร์รี่ของตัวเองไปขายต่างประเทศ (กัมพูชา) ได้ด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้ NSL ยังรุกธุรกิจ Food Service เช่น การแปรรูปเนื้อสัตว์ อาหารพร้อมนำไปปรุงต่อให้กับกลุ่ม HORECA และ Modern Trade รวมถึงการออกมสินค้า OEM เป็นของตัวเองที่มีอัตรากำไรสูงกว่า สะท้อนในผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง
... ยอดขายเติบโต 34% yoy
... กำไรสุทธิ เติบโต 26% yoy
... อัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่ 18.7% จากเดิมที่ 18%
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า NSL มีการเติบโตที่สมดุลและชัดเจน โดยเฉพาะการรุกต่างประเทศไปพร้อมกับ CPALL การทำ OEM สินค้าของตัวเองรวมถึงเปิดตัวสินค้าใหม่ "ข้าวแท่ง" น่าจะช่วยผลักดันให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 11% ในปี 2566
รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นจะค่อยๆเพิ่มขึ้นมาเป็น 20.4% (จากเดิม 18.7%)
ดังนั้น เมื่อเทียบจาก SETFOOD (หุ้นไทยกลุ่มอาหาร) พบว่า NSL มีราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม
บทวิเคราะห์จึงมองว่า NSL มีความน่าสนใจ ในเชิง Valuation
แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ อาจจะมาจากเรื่องของการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยที่อาจจะช้ากว่าที่คาดไว้ รวมถึงสินค้าใหม่ก็อาจจะไม่ได้ "ปัง" อย่างที่คิด
ถือเป็นหุ้นที่นักลงทุนควรเก็บไว้ใน Wishlist เพื่อนำไปทำการบ้านกันต่อครับ ....
----------------------------------------------
Reference
เอกสารนำเสนอ : วันพบปะนักลงทุนไตรมาสที่ 3/2565