SCGP ประกาศผลประกอบการออกมาเป็นที่เรียบร้อย
โดยปี 2566 รายงานกำไรสุทธิ 5.24 พันล้านบาท
จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 5.80 พันล้านบาท ... ลดลง -10% YoY
ถ้าเราดูกำไรเฉพาะ 4Q66 อย่างเดียว จะอยู่ที่ 1.21 พันล้านบาท ลดลง -8% QoQ แต่ +171% YoY

คำถาม คือ ถ้าให้สรุปสั้นๆ เป็นอย่างไร ?
คำตอบ คือ น่าผิดหวัง และต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ราวๆ 12% เลยทีเดียว
โดยสาเหตุหลักมาจาก 3 ปัจจัยด้วยกันคือ
1. อัตราภาษีที่สูงเกินไป โดยเฉพาะธุรกิจ Fajar
2. ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ Integrated packaging unit
3. ต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเทียบปีต่อปี จะพบว่าดีขึ้นกว่าเดิมมาก
โดยใน 4Q65 กำไรสุทธิอยู่ที่ 450 ล้านบาท
ในขณะที่ 4Q66 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.21 พันล้านบาท ... เพิ่มขึ้น +171% YoY
สาเหตุเป็นเพราะว่า Margin จากธุรกิจ fibrous เพิ่มขึ้น จากราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งต้นทุนใน 4Q65 ก็ยังสูงกว่าในปัจจุบัน อีกทั้ง SCGP ยังต้องเจอกับการท้าทายในด้านอุปสงค์ที่อ่อนแอ
ทำให้ผลประกอบการใน 4Q65 ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ทั้งนี้ ในภาพรวมก็ต้องยอมรับว่าน่าผิดหวัง
สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ลดลงมาค่อนข้างมาก
โดยตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นลดลงไปแล้ว -15%
และลดลงไปกว่า -42% ในรอบ 12 เดือน
เรียกว่าสะท้อนความกังวลไปแล้วค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม SCGP อาจจะต้องเจอกับการปรับประมาณการลงของนักวิเคราะห์หลายแห่ง
ว่าจะมีการปรับกำไรปี 2567 และปี 2568 ลงราวๆ 10% และอีก 4%
อ้างอิงจากบทวิเคราะห์หลักทรัพย์เคจีไอ วิเคราะห์ว่า SCGP มียอดขายที่อ่อนแอ และต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งการต้องเจอกับสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวน เช่น
ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าซื้อ Fajar ที่กดดันกำไร และต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาสูงขึ้น
ทำให้ปี 2567 ภาพรวมอาจจะไม่สดใสเท่าไรนัก และเป็นภาพการฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น 1Q67 นักลงทุนจะเห็นการฟื้นตัวจากธุรกิจหลัก และสถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทศกาลตรุษจีน การเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย (กระตุ้นเศรษฐกิจ)
และราคาเยื่อกระดาษ Dissolving Pulp ที่สูงขึ้น
- เจาะประเด็น SCGP หุ้นที่คนซื้อวันนี้ ได้เปรียบคนซื้อ IPO มาก
- SCGP การลงทุนที่อินโดนีเซีย อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิด
- ราคาหุ้น IRPC -40% ภายใน 12 เดือน ค้นหาสาเหตุทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า มีมุมมองไปในทางเดียวกัน คือต่ำกว่าที่ประเมินเอาไว้
โดยเฉพาะธุรกิจในไทยและฟิลิปปิรส์ที่ซบเซา และภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูง
แต่ภาพรวมปี 2566 ดูดีกว่าปี 2565 โดยเฉพาะการฟื้นตัวด้านอุปสงค์ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจในอาเซียน
ภาพในปี 2567 มีแนวโน้มไปในเชิงบวก แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยที่ต้องจับตามอง เช่นการฟื้นตัวเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน การท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงราคากระดาษที่อาจจะสูงขึ้นได้จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศไทย
พูดง่ายๆ คือ ผลประกอบการของ SCGP น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
แต่จะฟื้นตัวได้มากแค่ไหน ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไป
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 จะเป็นการฟื้นตัวที่ยังไม่เด่นชัด
และรอความคาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี
ประเมินว่าปี 2567 กำไรสุทธิของ SCGP น่าจะอยู่ราวๆ 6.38 พันล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตราวๆ 22%
SCGP คือหุ้นขนาดใหญ่ตัวแรกๆที่เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการออกมา
หลังกลุ่มธนาคารผ่านพ้นไป
ถึงแม้ผลประกอบการจะไม่ประทับใจเท่าไรนัก แต่ก็ยังดูดีกว่าปี 2565
แสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนของไทย เริ่มมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น
ถึงแม้จะเป็นการฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าก็ตาม
หวังว่าปี 2567 จะเป็นปีของการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมา Outperform ได้ไม่ยาก
อนึ่ง SCGP ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.3 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 2 เมษายน 2567
และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่จะถึงนี้ครับ ...
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส
คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการไตรมาสที่ 4/2566 : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การแจ้งมติคณะกรรมการบริษัทเรื่องการจ่ายเงินปันผล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย