เมื่อหลายปีก่อน หุ้น M หรือ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ถือเป็นหุ้นธุรกิจร้านอาหารดาวเด่นในตลาดหุ้นไทย โดยเข้ามาในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2556
เข้าตลาดมาด้วยราคา IPO 49 บาท และพุ่งสูงไปถึง 90 บาท จากสตอรี่ของการเติบโต ผลประกอบการที่ดูดีต่อเนื่อง
และธุรกิจร้านอาหารสุกี้ที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงการพยายามเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ เจาะกลุ่มตลาดลูกค้าใหม่ๆอยู่เสมอ
แต่ในช่วง 4-5 ปีมานี้ หุ้น M กลายมาเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง
โดยถ้านักลงทุนถือหุ้นมา 12 เดือน จะได้ผลตอบแทน -35% เข้าไปแล้ว
หรือถ้าใครถือหุ้นมานานเกือบ 5 ปี จะขาดทุนไปกว่า 50%
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น M พื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
เราต้องเข้าใจก่อนว่า M มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องไปในทางที่ดี ..
เช่น การขยายสาขาใหม่ๆ การเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่ เน้นตลาดพรีเมี่ยมมากขึ้น และเน้นความเป็นไลฟสไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเมือง
รวมถึงการทุ่มเงินไปกว่า 2 พันล้านบาทเข้าซื้อ "แหลมเจริญ ซีฟู้ด"
ซึ่งกระแสการเข้าซื้อกิจการเป็นไปในทางบวก เพราะ M มีฐานเงินทุนที่ดี การเข้าซื้อกิจการจะเป็นการเติบโตทางลัดที่เร็วกกว่าการมานั่งปั้นแบรนด์เอง
การซื้อแหลมเจริญ อาจทำให้ MK นำความรู้ของตนมาพัฒนาต่อยอดให้แหลมเจริญ
รวมถึงช่วงวิกฤตโรคระบาด COVID-19 บริษัทก็หันมาเน้นทำเดลิเวอร์รี่มากขึ้น
และเน้นอาหารประเภท "อาหารจานเดียว" ในราคาที่ถูกลง
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นลดลงเป็นเพราะวิกฤต COVID-19 ...
1. วิกฤต COVID-19 ทำให้ผลประกอบการแย่ลง
ปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2.60 พันล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 907 ล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 130 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.43 พันล้านบาท
ไม่เพียงแค่ผลประกอบการที่ลดลง แม้แต่ ROE ก็ลดลงด้วย
โดยก่อนโควิด บริษัทเคยมี ROE สูงถึง 18.28% และเคยสูงถึงระดับ 25% ในอดีต
แต่ตอนนี้เหลือเพียงระดับ 10-11% เท่านั้น
สอดคล้องกับทิศทางของอัตรากำไรสุทธิที่ลดลง จากที่เคยสูงถึง 14.6% เหลือเพียงระดับ 9% เท่านั้น
- สรุป M ปรับตัวให้เติบโต ในวันที่ลูกค้าไม่นั่งทานในร้านเหมือนเดิม
- การปรับลดค่าไฟ FT กำลังส่งผลกระทบต่อหุ้น PTT และ PTTGC
- สรุป WARRIX สปอร์ตแบรนด์ที่สดใส แต่ทำไมราคาหุ้นกลับมาที่เดิม ?
2. แนวโน้มผลประกอบการที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่นักลงทุนคาดหวังไว้
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟินันเซีย มองว่า M ฟื้นตัวช้า ยังไม่น่าตื่นเต้น ยังไม่เห็นการฟื้นตัวของกำลังซื้อ
และพร้อมจะปรับลดกำไรลงปีละ 8-12% ซึ่งเป็นความน่ากังวลมากที่สุด
เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทเปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทต้ังเป้าเติบโต 7% YoY (จากเดิมตั้งเป้าเป็นเลขสองหลัก)
และการขยายสาขา 21 สาขา (จากเดิม 30-40 สาขา)
โดยให้เหตุผลว่า การปรับแผนตามห้างค้าปลีก ค่าไฟที่แพงขึ้น ดังนั้น ผลประกอบการในอนาคตน่าจะยังเติบโตไม่โดดเด่น
ฝ่ายวิจัย มีการปรับกำไรสุทธิลดลง 8-12% ตั้งแต่ปี 2566 - 2568
โดยมองว่าในปี 2566 บริษัทน่าจะมีกำไรสุทธิเติบโต 9% YoY
ในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโต 12% YoY
และในปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโต 8% YoY ซึ่งถือว่าเป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าในอดีต
ส่วนผลประกอบการระยะสั้น ในไตรมาส 4 ปี 2566
ฝ่ายวิจัยมองว่า มีแนวโน้มประกาศออกมาต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ โดยน่าจะกำไรอยู่ที่ 405 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% QoQ
จากการขยายสาขาเพียง 4 สาขา และยอดขายต่อสาขาลดลงราวๆ -2.5% Yoy ทำให้มองว่าผลประกอบการไม่สดใส
โดยสรุป ระยะสั้นไม่มีปัจจัยบวกที่จะช่วยผลักดันราคาหุ้นให้มี Upside เพิ่มขึ้นได้
สิ่งที่ยังพอคาดหวังได้ คือ แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
และฐานะทางการเงินที่แข็งแรง ไม่มีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยจ่าย และมีเงินสดในมือสูง
ฝ่ายวิจัยมองว่าเป็นหุ้นที่เหมาะแก่การซื้อลงทุน และเป็นหุ้นระยะยาว มากกว่า
ทั้งนี้ หุ้น M ปรับตัวลงมามาก
สะท้อนความกังวลไประดับหนึ่ง จากหุ้นที่เคยซื้อขายบน P/E สูงถึง 38 เท่า ตอนนี้เหลือเพียง 25 เท่า
และมีเงินปันผลระดับ 3.54%
หน้าที่สุดท้ายของนักลงทุน คือ ติดตามความคืบหน้าและผลประกอบการของบริษัทอย่างใกล้ชิด
เพราะไม่แน่ว่า M อาจจะหาจุด Turning Point เจอ และกลายมาเป็นหุ้น Outperform ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟินันเซีย