เมื่อไม่นานมานี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การปรับลดค่าไฟในงวดเดือนมกราคม จนถึงเมษายน ปี 2567
สำหรับผู้ใช้ไฟเกิน 300 หน่วยต่อเดือน มาอยู่ที่ 39.72 บาทอต่อเดือน (ปรับลงราวๆ 49.83 สตางค์ต่อหน่วย)
และรวมกับการปรับลดก่อนหน้าอีก 3.79 บาทอต่อหน่วย
จะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าใหม่สำหรับเดือนมกราคม จนถึงเมษายน ปี 2567 อยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย (เดิม 4.68 บาทต่อหน่วย)
และสำหรับบ้านที่ใช้ไฟน้อยกว่า 300 หน่วย จะตรึงค่าไฟไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย
พูดง่ายๆ คือ ประชาชนจะจ่ายเงินค่าไฟ "ถูกลง"
แต่ถ้าถามว่า ในแง่ของตลาดหุ้นไทยแล้วจะส่งผลกระทบอย่างไร
ถ้าให้อธิบายแบบสั้นๆ คือ กระทบอย่างมากโดยเฉพาะหุ้น PTT และ PTTGC
แต่ถ้าให้อธิบายยาวๆ พอแยกออกมาได้ 4 ประเด็นด้วยกัน คือ
1. ให้ กฟผ. รับภาระเงินคงค้างสะสม 15.96 พันล้านบาท แทนประชาชนไปก่อน สำหรับงวดเดือนมกราคม และเมษายน ในปี 2567 ส่งผลให้ค่า Ft ลดลง 25.37 สตางค์ต่อหน่วย
2. ปรับปรุงราคา Spot LNG จากเดิม 16.9 เหรียญต่อล้านบีทียู ลงเหลือ 14.3 เหรียญต่อล้านบีทียู
ส่งผลให้ราคา Pool Gas ลดลง 387 บาทต่อล้านบีทียู มาอยู่ที่ 365 บาทต่อล้านบีทียู
และลดค่า FT ลงได้ 9.98 สตางค์ต่อหน่วย
3. ปรับราคาก๊าซธรรมชาติ เป็น Pool Gas ซึ่งรวมราคาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่นๆ
ส่งผลให้ราคา Pool Gas ลดลงจาก 365 บาทต่อล้านบีทียู มาอยู่ที่ 343 บาทต่อล้านบีทียู
สามารถลดค่า FT ลงได้ 10.01 สตางค์ต่อหน่วย
4. เก็บเงินค่า Shortfall กรณีอ่าวไทย ไม่สามารถส่งมอบก๊าซได้ตามเงื่อนไขสัญญาช่วงปี 2563 - 2565 จำนวน 4.3 พันล้านบาทจาก PTT
และนำเงินดังกล่าวมาลดค่า FT งวดเดือนมกราคม ถึงเมษายน ปี 2567
ส่งผลให้ลดค่า FT ลงได้อีก 4.47 สตางค์ต่อหน่วย
โดยเฉพาะประเด็นข้อ 2 และข้อ 4 ที่ส่งผลกระทบต่อ PTT และ PTTGC อย่างมาก ...
- ประเด็น Shortfall กำลังกดดันหุ้น PTT
- แผนการลงทุน 5 ปีของ PTT ธุรกิจก๊าซ ยังเป็นหัวใจหลักของการลงทุน
- เจาะสาเหตุ PTTGC ทำไมราคาหุ้นร่วง -7% ภายในวันเดียว ?
ประเด็น PTT โดนยึด Shortfall 4.3 พันล้านบาท
แน่นอนว่าจะกระทบต่อกำไร ทำให้กำไรของ PTT ลดลงราวๆ 4.3 พันล้านบาท
ซึ่งประเด็นนี้อยู่ในระหว่างการหาแนวทางออกร่วม และจะมีการจัดประชุมบอร์ดในวันที่ 12 มกราคม ที่จะถึงนี้
สำหรับ PTTGC กับประเด็นการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ
ทำให้กลุ่มปิโตรเคมีเสียผลประโยชน์
โดยปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ที่เข้า-ออกโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
จากเดิมใช้ราคา Gulf Gas (ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเท่านั้น) ให้เปลี่ยนเป็นใช้ราคา Pool Gas หรือราคาเฉลี่ยของก๊าซฯ อ่าวไทย, เมียนมา และ LNG รวมกัน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป
ดังนั้นการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ จะกระทบกับ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
1. กลุ่มที่ได้ประโยชน์
กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่ม NGV ที่จะมีต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำลง
เพราะโครงสร้างราคาใหม่ จะนำก๊าซจากอ่าวไทยทั้งหมด ซึ่งมีราคาถูกกว่า เฉลี่ยกับโครงสร้างราคาเดิม
ราคา Pool Price จะคำนวนจากก๊าซในอ่าวไทยที่หักปริมาณก๊าซที่เข้าโรงแยกก๊าซ มาเฉลี่ยกับก๊าซนำเข้า
2. กลุ่มที่เสียประโยชน์
คือกลุ่มโรงแยกก๊าซของ PTT และกลุ่มปิโตรเคมี โดยเฉพาะ PTTGC
เพราะต้นทุนก๊าซเดิมจะอิงกับราคาอ่าวไทยที่ 6-7 เหรียญต่อล้านบีทียู
แต่หากเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ไปใช้ Pool Price ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 9 เหรียญต่อล้านบีทียู
ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
3. กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ
คือ กลุ่มที่ใช้ก๊าซ LPG
เพราะ มติ ครม. ระบุว่าก๊าซธรรมชาติที่นำไปใช้ในการผลิต LPG เป็นเชื้อเพลิง ให้ใช้ต้นทุนราคาจากอ่าวไทย
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส คาดว่าประเด็น Pool Gas จะกระทบกับกำไรของ PTT และ PTTGC
โดยจะกระทบกับ PTT ราวๆ 1.5-2 หมื่นล้านบาทต่อปี
และกระทบกับกำไรของ PTTGC ราวๆ 5-7 พันล้านบาทต่อปี
ซึ่งทั้ง 2 บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการแก้ไข และหาทางออกร่วมกัน
อีกทั้ง PTT ยังมีประเด็น Shortfall อีก 4.3 พันล้านบาท
ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับราคามูลค่าพื้นฐานของทั้่ง PTT และ PTTGC ลงมาค่อนข้างมาก
โดยฝ่ายวิจัยมองว่า ราคาเหมาะสมของ PTT เดิมอยู่ที่ 41 บาท ลงมาเหลือ 36 บาท
และ PTTGC เดิมอยู่ที่ 48 บาท ลงมาเหลืออยู่ที่ 36 บาทต่อหุ้น
เรียกได้ว่ากระทบค่อนข้างหนัก
และเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดครับ ...
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส