หลายๆครั้ง เรามักจะได้ยินว่าบริษัทขนาดใหญ่หลายๆบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ลดลง
หรือบางบริษัทก็ล้มหายตายจากไป เนื่องด้วยการพยายามที่จะทำธุรกิจแบบเดิมๆ
อาจจะด้วยความใหญ่ ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่คงไม่ใช่สำหรับ PTTEP หรือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
หนึ่งในบริษัทลูกขนาดใหญ่ของกลุ่ม PTT ที่มี Market Cap. สูงถึง 7 แสนล้านบาท
และทำรายได้ต่อปีมากถึง 3 แสนล้านบาท การจะเปลี่ยนตัวเองไปทำธุรกิจอื่นนอกเหนือจากการขุด เจาะ และสำรวจน้ำมัน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา PTTEP ทุ่มงบลงทุนราว 2.4 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 50 ในบริษัท TotalEnergies Renewables Seagreen Holdco (TERSH) เพื่อลงทุนในโครงการซีกรีน ออฟชอร์ วินด์ฟาร์ม ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสกอตแลนด์ พร้อมสร้างรายได้จากโครงการดังกล่าวได้ทันที และยังเป็นโอกาสการร่วมพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดอื่น ๆ กับกลุ่มโททาล บริษัทพลังงานชั้นนำในอนาคต
พร้อมกับมีการขายแปลงสัมปทานปิโตรเลียม ใน 2 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย และแองโกลา
พูดง่ายๆ คือ
1. PTTEP เข้าซื้อหุ้น 50% ใน TotalEnergies Renewables Seagreen หรือ TERSH มูลค่า 689 ล้านเหรียญสหรัฐ
2. การขายสัดส่วนลงทุนทั้งหมดแปลงปิโตรเลียม AC/RL7 ที่ประเทศออสเตรเลีย และขายสัดส่วน 2.5% ในแปลงปิโตรเลียม 17/06 ประเทศแองโกลา
แหล่งข่าวกล่าวว่า การเข้าลงทุนในโครงการซีกรีน ออฟชอร์ วินด์ฟาร์ม ถือเป็นก้าวสำคัญของ ปตท.สผ. ในการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจพลังงานสะอาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทด้านการลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (new business for energy transition) ซึ่ง ปตท.สผ. จะใช้ความเชี่ยวชาญในการบริหารโครงการนอกชายฝั่งที่เรามีอยู่ ต่อยอดกับพันธมิตรเดิมในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อร่วมดำเนินโครงการ
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ ปตท.สผ. มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนนอกชายฝั่ง เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดอื่น ๆ ในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ การเข้าลงทุนในโครงการซีกรีน ออฟชอร์ วินด์ฟาร์ม ยังมีความเสี่ยงในระดับต่ำ เนื่องจากได้เริ่มการผลิตไฟฟ้าแล้ว ซึ่งสามารถสร้างรายได้ได้ทันที รวมถึง ยังเป็นการลงทุนในประเทศที่มีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องด้วย
รวมทั้งหาโอกาสการลงทุนร่วมกันในธุรกิจพลังงานสะอาด ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจร่วมกันในอนาคต
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า วิเคราะห์ว่า ดีลนี้เป็นดีลขนาดใหญ่ที่จะนำ PTTEP ไปสู่พลังงานสะอาด
โดยคาดว่า PTTEP จะใช้กระแสเงินสดทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท เพียงพอต่อการลงทุนครั้งนี้
และคาดว่าจะปิดดีลได้ในไตรมาส 2 ปีหน้า และจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทันที น่าจะอยู่ราวๆ 1-3 พันล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ภาพในระยะสั้นไม่ได้สร้าง Upside อะไรมากต่อประมาณการ เพราะอาจจะถูกถ่วงด้วยต้นทุนทางการเงิน
และลักษณะของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ที่มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ และความเสี่ยงที่ต่ำ
คาดว่า Return rate น่าจะอยู่ราวๆ 7-10% เทียบกับธุรกิจขุดเจาะ สำรวจ จะมี Return Rate อยู่ประมาณ 10-15%
บทวิเคราะห์ มองว่า ความน่าสนใจอยู่ที่การขายแปลงปิโตรเลียม 2 แปลง
เพราะทั้ง 2 แปลง อยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา ยังไม่เริมผลิต ทำให้การขายออกไปจะไม่กระทบต่อกำไรของ PTTEP
อีกทั้งจังหวะในการขายก็ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง การขายช่วงนี้จึงได้ราคาค่อนข้างดี
ดังนั้น ฝ่ายวิจัย มองว่า ดีลนี้เป็นดีลบที่ดีในระยะยาว และเป็นการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจ E&P มาเป็นธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น ...
- เจาะสาเหตุ PTTGC ทำไมราคาหุ้นร่วง -7% ภายในวันเดียว ?
- 4 ธีมชวนลงทุน RMF-SSF ลงทุนให้เหมาะสม และวางแผนภาษีไปพร้อมกัน
- กรณีศึกษา BCPG โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่พยายามปรับตัวหลังหมดสัญญา Adder
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ วิเคราะห์ว่า ดีลนี้ เป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
ถึงแม้การลงทุนสัดส่วนจะไม่มาก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการเข้าสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน สร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ และลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ
อีกทั้ง ดีลนี้ยังเกิด "ผลบวก" อีก 3 ประการด้วยกัน คือ
1. รับรู้กำไรได้ทันที
โดยคาดว่า PTTEP น่าจะได้ประมาณ 2.8 พันล้านบาทต่อปี ตามสัดส่วนการถือหุ้น 25.5%
2. มูลค่าการลงทุน ไม่แพง
3. โอกาส การลงทุนเพิ่มเติมกับกลุ่ม Total Energies
เพราะกลุ่ม Total มีฐานการลงทุนในหลายประเทศทั้งยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ไต้หวัน และอังกฤษ
โดยเฉพาะอังกฤษ ที่กลุ่ม Total มีเป้าหมายขยายธุรกิจ Offshore Wind Farm สูงถึง 50 GW ภายในปี 2573
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยมองว่า ก้าวนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับ PTTEP ที่จะเปลี่ยนตัวเองไปสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น
และลดบทบาทของราคาน้ำมันดิบลง
จากเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ใหญ่แค่ไหนก็ต้องเริ่มเปลี่ยนตัวเอง
จากธุรกิจขุด เจาะ สำรวจน้ำมันดิบ ขนาดใหญ่และเป็นเบอร์ 1 ของประเทศไทย
แต่ตอนนี้ PTTEP กำลังเริ่มรุกเข้าไปในธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น
เชื่อว่า ในอนาคต เราน่าจะได้เห็นดีล PTTEP รุกธุรกิจพลังงานสะอาดและหมุนเวียน มากขึ้นครับ ...
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์