อีกไม่กี่สัปดาห์ เราก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2567
ต้องยอมรับว่าปี 2566 ภาพรวมไม่ใช่ปีที่ดีเท่าไรนักของตลาดหุ้นไทย
ค่อนข้าง Underperform ตลาดหุ้นโลก และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ
คำถาม คือ ถ้าเรามองตลาดหุ้นไทยในปีหน้า เราจะปรับกลยุทธ์ทางการลงทุนอย่างไร ?
คำตอบ คือ หุ้นกลุ่ม Defensive และ Dividend Play เป็นกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยบวก และปัจจัยเสี่ยงในตลาดหุ้นไทยปีหน้าเอาไว้ว่า
ปัจจัยที่หนุนหุ้นไทยปี 2567 (+)
1. GDP ปี 2567 น่าจะดีกว่าปี 2566 จากการคาดการณ์ของแบงก์ชาติ พบว่า ปี 2566 ไทยจะเติบโตได้ +2.8% YoY
และปี 2567 จะเติบโตได้ +4.4% YoY ซึ่งรวมมาตรการ Digital Wallet ไว้แล้ว
หนุนให้อัตราการบริโภคเพิ่มขึ้น และการผลิตโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น
2. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มอ่อนตัวลง ค่าไฟฟ้าน่าจะลดลง
3. การลงทุนของภาคเอกชน เร่งตัวขึ้นจากสิทธิประโยชน์ BOI
ปัจจัยเสี่ยงหุ้นไทยปี 2567 (-)
1. ต้นทุนทางการเงิน ดอกเบี้ยโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
2. ต้นทุนค่าแรงมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น
3. ความผันผวนของราคาพลังงาน จะทำให้กำไรและขาดทุนสต๊อคน้ำมันเหวี่ยงตัวแรงอย่างมาก
และอาจจะรบกวน EPS ของหุ้นไทยในแต่ละไตรมาส
4. ภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิโลก
- เข้าใจงบกำไร-ขาดทุน ให้มากกว่าที่เคยเป็น
- 4 ธีมชวนลงทุน RMF-SSF ลงทุนให้เหมาะสม และวางแผนภาษีไปพร้อมกัน
- ทำไมต้องรู้จักนิสัยหุ้น
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยมองว่า EPS ของ SET Index ปี 2566 น่าจะอยู่ราวๆ 85 บาทต่อหุ้น ลดลง -8% YoY
และปี 2567 จะอยู่ที่ 92 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น +8% YoY
โดยฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักในเรื่อง ดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง และปรับลดคาดการณ์ของบริษัทจดทะเบียบนไทย จากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ค่อยจะดีนัก
และฝ่ายวิจัย ยังเน้นย้ำกลยุทธ์การลงทุนด้วยว่า หุ้นกลุ่ม Defensive (หุ้นเชิงรับ) และ Dividend Play (หุ้นปันผล)
สาเหตุเป็นเพราะว่า ความกังวลด้าน Global Recession และทิศทางดอกเบี้ยเริ่มอ่อนตัวลง
โดยมี 4 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ คือ
1. หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จาก Digital Wallet เช่น ธนาคาร ค้าปลีก และสื่อสาร
2. ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-จีน ยูเครน-รัสเซีย เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
3. หุ้นที่มี Yield สูง เช่น โรงไฟฟ้า ไฟแนนซ์ กอง REIT
4. เศรษฐกิจโลกถดถอย เช่น กลุ่มการแพทย์ โรงไฟฟ้า สื่อสาร
ฝ่ายวิจัยยังมองอีกด้วยว่า ค่า P/E ที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทย ควรอยู่ที่ 16.5 เท่า (จากค่าเฉลี่ย 16.9 เท่า)
ซึ่งถ้านำมารวมกับ EPS ของฝ่ายวิจัยที่ 92 บาทต่อหุ้น
จะได้เป้าหมายของดัชนี อยู่ที่ 1,520 จุด
โดยมีกรอบล่างอยู่ที่ 1,300 จุด - 1,430 จุด
และกรอบบทอยู่ที่ 1,555 จุด - 1,620 จุด
นี้คือไอเดียทางการลงทุนที่นักลงทุนควรนำเอากลยุทธ์มาปรับใช้ในปีหน้าครับ ...
อนึ่ง หุ้นกลุ่ม Defensive คือ หุ้นที่มีพื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และมีการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสม่ำเสมอ จึงเป็นหุ้นที่มีความทนทานในทุกสภาพตลาด ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม ในทางกลับกัน การเติบโตของรายได้และกำไรของหุ้นกลุ่มนี้ก็จะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ ในตลาด
หุ้น Dividend Play คือ กลุ่มหุ้นที่พื้นฐานดี จ่ายเงินปันผลสูง ต่อเนื่องและมีความสม่ำเสมอ
โดยส่วนใหญ่แล้วหุ้นกลุ่ม Dividend Play จะเคลื่อนไหวไม่ผันผวนมากนักเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม
------------------------------------------------------------------------------
Reference
https://www.settrade.com/th/research/analyst-research/39787
https://www.kasikornbank.com/th/kwealth/Pages/a297-defensive-stock-strong-invest-kgth.aspx