เป็นที่แน่ชัดแล้วสำหรับโครงการ Digital Wallet เงิน 1 หมื่นบาท ที่น่าจะแจกเงินให้กับคนไทยทุกคน
ปัจจุบันมีเงื่อนไขเข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้คนบางกลุ่มอาจจะไม่ได้สิทธิ์ในโครงการ Digital Wallet
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คนที่ไม่ได้สิทธิ์ในโครงการ Digital Wallet ก็ยังได้สิทธิ์ในอีกโครงการที่เรียกว่า E-Refund
ซึ่งถือเป็นโครงการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับคนที่ไม่ได้ Digital Wallet โดยเฉพาะ
เมื่อไม่นานมานี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึงผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้นั้น รัฐบาลจะออกโครงการ E-Refund เพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิเสียภาษี สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการซื้อสินค้า-บริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยให้นำใบกำกับภาษีมาประกอบการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา โดยรัฐจะคืนเงินภาษีให้
พูดง่ายๆ คือ ผู้ที่ไม่สามารถร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ สามารถเข้าร่วมโครงการ E-Refund ได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้น
สรุปเงื่อนไขสำหรับ 2 โครงการ
เงื่อนไขสำหรับ Digital Wallet
1. ชาวไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป
2. มีรายได้ไม่เกิน 7 หมื่นบาทต่อเดือน
3. มีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท
โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 50 ล้านคน ให้สิทธิ์ใช้ 6 เดือน ครอบคลุมการใช้จ่ายระดับอำเภอตามบัตรประชาชน
เริ่มใช้ตั้งแต่ พฤษภาคม 2567 และสิ้นสุดโครงการ ปี 2570
เงื่อนไขสำหรับ E-Refund
1. สำหรับผู้ที่ไม่ได้เงินในโครงการ Digital Wallet 1 หมื่นบาท
2. ลดหย่อนภาษีได้ 5 หมื่นบาท ตั้งแต่เดือน มกราคม 2567
3. ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่อยู่ในฐานระบบภาษี ที่สามารถออกใบกำกับภาษีในรูปอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
4. นำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้า-บริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท มาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
แน่นอนว่าทั้ง 2 โครงการ ต่างช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปีหน้าให้เติบโตได้อย่างแน่นอน
สอดคล้องกับความเห็นของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ที่มองว่า โครงการ Digital Wallet และโครงการ E-Refund จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ทั้งยังช่วยอัดฉีดเม็ดเงินให้เข้าถึงทุกพื้นที่ เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินอย่างมีศักยภาพ บรรเทาภาระค่าครองชีพ ส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการทุกระดับ
... แต่อาจจะต้องมีการปรับบางอย่าง เช่น เงื่อนไขการใช้ต้องชัดเจน มีความสะดวก เข้าถึงง่าย และใช้จ่ายได้กับผู้ค้ารายย่อย ร้านสตรีทฟู้ด โชว์ห่วย หาบเร่ แผงลอย
อีกทั้งยังมีข้อเสนอแนะอีกด้วยว่า ให้ขยับการประกาศใช้มาเป็นเดือนเมษายนจะเป็นการสร้าง impact ให้โครงการนี้มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นช่วงที่ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนา
นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังสร้างส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ SME ในภาคค้าปลีกและบริการ ทั่วประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีมากกว่า 2.4 ล้านราย คิดเป็น 80% ของ SME ทั้งประเทศ จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากโครงการนี้
รวมถึงร้านค้าย่อยในชุมชนต่างๆ ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งหากโครงการฯดังกล่าวประสบความสำเร็จจะนับได้ว่าเป็นการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
- JKN Vs. STARK วิกฤตราคาหุ้น ในสถานการณ์ที่แตกต่าง
- OR ผลประกอบการ 3Q66 มีข้อสังเกตอะไรที่นักลงทุนต้องรู้ ?
- BAM บริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ราคาหุ้น -50% โอกาสหรือความเสี่ยง ?
ที่น่าสนใจ คือ เม็ดเงินของทั้ง 2 โครงการ มีมูลค่าราวๆ 6 แสนล้านบาท
แบ่งออกเป็นโครงการ Digital Wallet 5 แสนล้านบาท
และโครงการ E-Refund อีก 1-2 แสนล้านบาท
อีกทั้ง ภาครัฐจะเพิ่มเงินอีก 1 แสนบาท ใส่ในกองทุนเสริมสร้างการแข่งขัน 13 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย GDP Growth ปีหน้าอยู่ที่ระดับ 5% YoY
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวล คือ เรื่องของที่มาของแหล่งเงินกู้
ตลาดมองว่า ภาครัฐจะต้องกู้หนี้เพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท
ส่งผลให้ Public Debt / GDP สูงถึง 65% (ปัจจุบันอยู่ที่ 62.14%)
หมายความว่า การมีหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ และอาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้ในภายหลัง
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า ทั้ง 2 โครงการ จะส่งผลดีต่อหุ้น 5 กลุ่มด้วยกัน คือ
1. กลุ่มท่องเที่ยว
2. กลุ่มอาหาร
3. กลุ่มห้างสรรพสินค้า
4. กลุ่มการเงินและโฆษณา
5. กลุ่มอุปโภค และบริโภค
อาจจะไม่ได้น่าผิดหวังซะทีเดียวสำหรับโครงการ Digital Wallet
สาเหตุเป็นเพราะว่า คนที่ไม่ได้ Digital Wallet ก็ยังมีโครงการ E-Refund ที่คนสามารถนำรายจ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ในปีถัดไป
และทั้ง 2 โครงการ ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ GDP ของไทยปีหน้าเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 5%
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส