ถ้าเป็นเมื่อ 3 ปีก่อน ธุรกิจประเภทบริหารสินทรัพย์ จัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้รับความนิยมสูงมากในตลาดหุ้นไทย
เพราะมาร์จิ้นของการทำธุรกิจที่ดีมาก ทำให้หุ้นเหล่านี้อยู่ในกลุ่ม "โตเร็ว"
แต่ในปัจจุบัน ช่วงตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง หุ้นธุรกิจจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพต่างถูกเทขายอย่างหนัก
จากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน และคาดว่าการเติบโตอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิด

ตัวอย่างเช่น หุ้น BAM หรือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ทำธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย 
โดยเข้ามาซื้อขายเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2562 ที่ราคา 17.50 บาทต่อหุ้น และมีราคาพาร์ที่ 5 บาท
ราคาหุ้นซื้อขายอย่างร้อนแรงไปถึงระดับราคา 36 บาท ก่อนที่จะค่อยๆลงมาจนเหลืออยู่ที่ 8.65 บาท
พูดง่ายๆ คือ ถ้าใครซื้อหุ้น BAM ตั้งแต่ต้นปี จะขาดทุนไปแล้วกว่า -45%

คำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น BAM
คำตอบ น่าจะมาจาก 2 เหตุผลหลักด้วยกัน คือ 
1. ผลประกอบการที่ผ่านมาไม่เติบโต
ผลประกอบการที่ผ่านมาของ BAM พบว่า
ปี 2562 บริษัทมีรายได้  12.23 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 6.54 พันล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 12.44 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.84 พันล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 13.30 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.60 พันล้านบาท
ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 12.78 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.72 พันล้านบาท
ปี 2566 ผลประกอบการ 6 เดือน บริษัทมีรายได้ 5.79 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 691 ล้านบาท
รายได้ค่อนข้างทรงตัว กำไรสุทธิที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ
สอดคล้องกับ "อัตรากำไรสุทธิ" ที่ค่อยๆลดลง 
จากเมื่อปี 2562 ที่เคยสูงถึงระดับ 53% มากเหลือเพียง 20% ก่อนที่จะเหลือเพียง 12% ในปีล่าสุด

• KEX ผลประกอบการ 3Q66 น่าเป็นห่วงมากแค่ไหน ? 
• ราคานำความคิดเรา
• กรณีศึกษา DELTA กำไรโต แต่ทำไมหุ้นลง ? 
   

2. ผลประกอบการในอนาคต ไม่ได้ดีอย่างที่นักลงทุนคาดหวัง
บทวิเคราะห์หลายแห่งมีมุมมองไปในทางเดียวกันว่า 
ผลประกอบการ 3Q66 ของ BAM จะไม่ดีต่อ และจะส่งโมเมนตัมเชิงลบไปยังไตรมาส 4 อีกด้วย
และอาจจะทำให้ผลประกอบการค่อยๆปรับตัวลดลงไปอีก 3 ปีนับจากนี้ (2566-2568)

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง วิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิ 3Q66 ของ BAM น่าจะอยู่ราวๆ 380 ล้านบาท
ต่ำกว่าตลาดคาด (จากเดิมคาดว่าจะทำได้ 670 ล้านบาท) ลดลง 47% YoY และลดลง 11% QoQ 
สาเหตุเพราะธนาคารต่างๆ ได้กำหนดเกณฑ์คัดกรองที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับลูกค้าเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูง 
ส่งผลต่อความสามารถของลูกหนี้ด้อยคุณภาพในการชำระหนี้คืนที่มีหลักประกัน
ปริมาณการซื้อลูกหนี้ "ลดลง"
กำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขาย "ลดลง" 
พูดง่ายๆ คือ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง กำลังจะส่งผลลบต่อธุรกิจที่บริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
... ฝ่ายวิจัย ยังมองอีกด้วยว่า ผลประกอบการ 4Q66 มีแนวโน้มลดลง เหลือเพียง 660 ล้านบาท -24% YoY 
เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และกำไรจากเงินให้สินเชื่อการซื้อหนี้ที่ลดลง
ดังนั้น ผลประกอบการปี 2566 มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ปี 2567 ผลประกอบการน่าจะลดลงอีกราวๆ -17% YoY มาอยู่ที่ 2 พันล้านบาท

สอดคล้องกับความเห็นของหลักทรัพย์ทรีนิตี้ ที่มองว่าผลประกอบการ 3Q66 มีแนวโน้มอ่อนตัว และภาพรวมของธุรกิจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คิดเอาไว้
จากดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นจากการออกหุ้นกู้ใหม่ ภายใต้สภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
ฝ่ายวิจัย คาดว่า 3Q66 บริษัทน่าจะรายงานกำไร 382 ล้านบาท อ่อนตัวลงทั้ง YoY และ QoQ 
และยังส่งผลให้ทั้งปี 2566 และปี 2567 มีผลประกอบการที่ลดลง -42% และ -27% ตามลำดับ 
พูดง่ายๆ คือ ฝ่ายวิจัย มองว่า BAM ฟื้นตัวช้ากว่าที่คิด 
และยิ่งภายใต้สภาวะดอกเบี้ยสูง จะเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการให้ลดลงจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

อนึ่ง หุ้น BAM ปรับตัวลดลงมามาก
จน P/E หุ้นซื้อขายที่ 12.79 เท่า และ P/BV เหลือเพียง 0.68 เท่า พร้อมกับอัตราการปันผลระดับ 6.11%
เรียกได้ว่า ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ไปแล้วเรียบร้อย
ถ้านักลงทุนคนไหน มองข้ามผลประกอบการระยะสั้นไปได้
ไม่แน่ว่า หุ้น BAM อาจจะเป็นโอกาสสำหรับคนมองระยะยาว 
แต่เราต้องไม่ลืมว่าภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทย การเติบโตอาจจะไม่เป็นอย่างที่คาด ดอกเบี้ยยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นผลเสียต่อธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 
เพราะต้นทุนของการซื้อหนี้เสียสูงขึ้น ส่งผลให้มาร์จิ้นของบริษัทลดลง 
ถือเป็นความท้าทายที่นักลงทุนต้องเข้าใจความเสี่ยงให้ดีครับ

------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ทรีนิตี้

ผลประกอบการสำคัญ : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย