ผลประกอบการของ KEX ประจำ 3Q66 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยรายงานขาดทุนสุทธิ 889.86 ล้านบาท ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 2Q66 ที่ขาดทุนหนักถึง 1.31 พันล้านบาท
แต่แย่ลงเมื่อเทียบกับ 3Q65 ที่ขาดทุน 839 ล้านบาท (+15% QoQ , -32% YoY)
สาระสำคัญของผลประกอบการรอบนี้
1. รายได้อยู่ที่ 2.89 พันล้านบาท "ทรงตัว" QoQ
แต่ลดลงมากเมื่อเทียบกับ 3Q65 ที่เคยทำได้ 4.21 พันล้ายบาท (-32% YoY)
2. ต้นทุนขายลดลง -6.4% QoQ และ -23.5% YoY ถือเป็นจุดดีๆของ KEX ที่ควบคุมต้นทุนได้ดี
3. สอดคล้องกับ SG&A ที่ลดลง -4.5% YoY และ -3.8% QoQ
4. บริษัทชี้แจงว่าได้เริ่มใช้ระบบคัดแยกพัสดุอัตโนมัติ ทำให้มีการลดต้นทุนได้ พัฒนาเครือข่ายและระบบปฏิบัติการ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ทั้งต้นทุนคงที่ และต้นทุนผันแปร
และยังช่วยลดการขาดทุนจากการดำเนินงาน
5. บริษัทคาดว่า KEX น่าจะกลับมามีกำไรได้ภายในปี 2567
6. KEX ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขจำนวนปริมาณพัสดุใน 3Q66 แต่ระบุว่าปริมาณการจัดส่งพัสดุลดลง -0.9% QoQ จากแพลตฟอร์ม e-commerce ที่อ่อนตัวลง (การเปิดประเทศทำให้คนออกนอกบ้านมากขึ้น)
7. ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การควบคุมต้นทุนของ KEX
พูดง่ายๆ คือ ต้นทุนต่อชิ้นลดลง จากแผนการลดต้นทุนที่เคยพูดไว้ก่อนหน้า การปรับเส้นทางให้เหมาะสม การเปลี่ยนสถานที่ตั้งของศูนย์คัดแยกพัสดุ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง
- สรุปผลประกอบการ KEX ใน 2Q66 ขาดทุนพันล้านจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และการแข่งขันที่ยังรุนแรง
- กรณีศึกษา DELTA กำไรโต แต่ทำไมหุ้นลง ?
- TCAP หุ้นต่ำบุค ที่นักลงทุนไทยชอบมองข้าม
ดูเหมือนว่า KEX เริ่มหาแนวทางตัวเองเจอ โดยจะเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการระดับกลางถึงสูง (ผู้ใช้บริการประเภท C-end) เน้นองค์กร อุตสาหกรรม การขนส่งระหว่างประเทศ เช่น จัดส่งผลไม้ ผลิตภัณฑ์จากทะเล สินค้าหัตถกรรม และกลุ่มลูกค้าในงานมหกรรมต่างๆ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า ปี 2566 ทั้งปี KEX น่าจะมีขาดทุนอยู่ราวๆ 3.6 พันล้านบาท (9 เดือนขาดทุนไปแล้ว 2.72 พันล้านบาท)
พูดง่ายๆ คือ 4Q66 มีแนวโน้มจะขาดทุนได้อีก
จากปริมาณการส่งพัสดุที่ลดลง วันหยุดที่มีมากขึ้นทำให้ปริมาณพัสดุลดลง ถึงแม้บริษัทจะควบคุมต้นทุนได้ดี
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมมีการแข่งขันที่รุนแรง
อีกทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพ การควบคุมต้นทุน อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ KEX กลับมามีกำไรได้ในเร็ววัน
พูดง่ายๆ คือ งบ 3Q65 ออกมาดี แต่ยังไม่ดีเพียงพอ
อีกทั้ง มีโอกาสสูงมากที่ VGI หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KEX 15.5% อาจจะขายเงินลงทุน เป็นประเด็นสร้างแรงกดดันต่อหุ้น KEX ในระยะถัดไป
อนึ่ง KEX มีประกาศกู้เงินจาก KLN ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วนการถือหุ้น 52%
โดยวงเงินกู้ 1.7 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1.65% ต่อปี
คำถาม คือ ประเด็นนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร
คำตอบ น่าจะเป็นสัญญาณว่ากระแสเงินสดของบริษัท มีแนวโน้มเป็นลบ จึงต้องมีการกู้เงินเพิ่มมากขึ้นจากการแข่งขันที่รุนแรง
KEX ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ถึงแม้ผลประกอบการที่ขาดทุน แต่สัญญาณเชิงบวกก็มีเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของการควบคุมต้นทุน
แต่การกู้ยืมเงินจาก KLN ก็เป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังมีปัญหาเรื่องกระแสเงินสด
ถือเป็นปัญหาที่นักลงทุนจะมองข้ามไม่ได้เลย
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์
คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการไตรมาสที่ 3/2566 : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย