สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่เข้ามาตลาดมักจะมีคำถามว่า
"หุ้นตัวแรก" ที่เราควรซื้อ ควรจะเป็นแบบไหน
เชื่อว่านักลงทุนกว่า 99% มักจะได้ยินว่าต้องเป็นหุ้นใหญ่ พื้นฐานดี มีปันผล
และหุ้นที่มักจะตกเป็นเป้าตัวเลือกแรกๆ น่าจะเป็นหุ้น SCC หรือปูนซีเมนต์ไทย
เพราะอย่างที่กล่าวไว้ คือ เป็นหุ้นใหญ่ พื้นฐานดี มีปันผล
ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น
เพราะลงทุนหุ้นพื้นฐานดีก็สามารถขาดทุนได้
โดยใน 10 เดือนมานี้ ราคาหุ้นปรับตัวลงไปแล้วกว่า -13%
ถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น SCC ในช่วงที่ผ่านมา
ถ้าให้ตอบแบบสั้นๆ คือ ผลประกอบการที่โตช้า
แต่ถ้าจะให้อธิบายยาวขึ้นมาสักหน่อย คือ นักลงทุนตอบรับในประเด็นเรื่องความท้าทายที่ SCC ยังต้องเจออย่างต่อเนื่องไปตลอดปี 2566
ในช่วงไตรมาส 3 ผลประกอบการของ SCC มีแนวโน้มอ่อนแอ
จากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ อัตราดอกเบี้ยระดับสูง และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ความต้องการของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลง
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า ประเมินว่า
กำไรของ SCC น่าจะอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท คิดเป็นการลดลง -67% QoQ
และถ้าไม่รวมกำไรพิเศษจากสินค้าคงคลัง บริษัทน่าจะมีกำไร 1.7 พันล้านบาทด หรือปรับตัวลดลงเกือบ -76% QoQ
นำโดยธุรกิจเคมีคอลล์ (ปิโตรเคมี) ที่อ่อนแอ รองลงมาคือธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจแพคเกจจิ้งที่เจอการแข่งขันรุนแรงในอินโดนีเซีย
ในช่วงไตรมาส 4 ผลประกอบการ SCC จะยังถูกกดดันต่อเนื่องจาก
ภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัว ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
หรือแม้แต่ปัจจัยของบริษัทเอง เช่นการปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีบางแห่ง และรับรู้ค่าเสื่อมจากโครีงการ LSP
สอดคล้องกับความเห็นของบทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส
ที่มองว่าผลประกอบการไตรมาส 3 "ไม่เด่น"
โดยจะโดนกดดันจากธุรกิจเคมีคอลล์ จาก Spread ผลิตภัณฑ์ลดลง และธุรกิจแพคเกจจิ้งจาก Oversupply ในอินโดนีเซีย
แต่ได้แรงสนับสนุนจากธุรกิจวัสดุก่อสร้าง จากต้นทุนพลังงานที่ลดลง
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส มองว่า ผลประกอบการไตรมาส 4 จะยังแย่กว่าไตรมาส 3 จากการซ่อมบำรุงโรงงานบางแห่ง
ทำให้มองว่า ราคาหุ้นไม่น่าจะวิ่งไปได้ไกลกว่านี้ได้ จึงแนะนำ "ลดน้ำหนัก" หุ้น SCC ลงมา
- Dividend Payout Ratio เรื่องที่นักลงทุนหุ้นปันผลต้องรู้
- MOSHI สินค้าไลฟ์สไตล์ 2 หมื่นล้าน ที่การเติบโตไม่ธรรมดา
- การลงทุน คือการวัดความศรัทธา และความเชื่อของเรา
จริงๆแล้ว ถ้าใครถือหุ้นมายาวนานกว่า 5 ปี จะพบว่าตัวเองขาดทุนไปราวๆ -30%
ส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา
อีกส่วหนึ่ง น่าจะเป็นเรื่องของผลประกอบการที่ "โตช้า" กว่าที่นักลงทุนคาดคิดเอาไว้
ปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 32.01 พันล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 34.14 พันล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 47.17 พันล้านบาท
ปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 21.38 พันล้านบาท ... นับเป็นปีที่กำไรลดลงค่อนข้าง
โดยเฉพาะธุรกิจเคมีคอลล์ ที่ถูกกดดันค่อนข้างหนัก
รวมถึงธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่ทรงตัว และธุรกิจแพคเกจจิ้งที่เติบโตแต่สัดส่วนรายได้ยังถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท
อ่านมาถึงตรงนี้ เราอาจจะมีคำถามในใจว่า
แล้วเราจะได้เห็น SCC ฟื้นตัวเมื่อไร ?
คำตอบ คือ ปี 2567 สถานการณ์จะเริ่มดูดีขึ้นเรื่อยๆ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า ให้ 4 เหตุผลที่ผลประกอบการของ SCC จะฟื้นตัว ประกอบไปด้วย
1. เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว
2. เศรษฐกิจในภูมิภาคเริ่มฟื้นตัว
3. ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ฟื้นตัว พร้อมกับ Supply เริ่มลดลง
4. การเปิดดำเนินงานของโครงการ LSP จะทำให้สินค้ามี High Value มากขึ้นส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นให้ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม มุมมองระยะยาวในปี 2567 มีความแตกต่างสำหรับฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส
โดยฝ่ายวิจัย มองว่า เศรษฐกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัว
น่าจะยังกดดันผลประกอบการของ SCC ให้ลดลงได้อีก
โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า ปี 2567 กำไรของ SCC จะลดลงอีก 29% เหลือระดับ 26.68 พันล้านบาทเท่านั้น
ในภาพรวม ต้องยอมรับว่า SCC ยังเป็นภาพลักษณะ Sentiment เชิงลบ ที่ยังหาปัจจัยบวกยังไม่เจอ
ท่ามกลางความเสี่ยงที่มีอยู่เต็มไปหมด และอาจจะลากยาวไปยังปี 2567 ถ้าเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว
ดังนั้น ราคาหุ้นไม่น่าจะ Outperform ตลาดไปได้ไกลกว่านี้
แต่ถ้านักลงทุนมองเป็นโอกาส จะพบว่าราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก
ถ้าเราสามารถ "รอได้" และมั่นใจว่า SCC ยังเป็นบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวได้ต่อ ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจอยุ่ไม่น้อยเหมือนกัน
อนึ่ง ถ้าดูจากค่า P/E Ratio ของ SCC อยู่ที่ 13 เท่า
และ P/BV อยู่ที่ 0.95 เท่า และราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาตลอด 5 ปี ก็พอจะคาดเดาได้ว่าสะท้อนปัจจัยลบไปแล้วระดับหนึ่ง
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า