ในช่วงของนโยบายการหาเสียงก่อนจะมีเลือกต้ัง
เป้าหมายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย คือ การทำให้ GDP Growth ของไทยขึ้นมาที่ 5%
จากค่าเฉลี่ย 10 ปีที่อยู่ราวๆ 3.7% 1
คำถาม คือ เป็นไปได้ไหม สำหรับเศรษฐกิจไทยที่จะโต 5% (โดยเฉพาะในปีหน้า)
คำตอบ คือ มีความเป็นไปได้
โดยเฉพาะนโยบาย Digital Wallet คนละ 1 หมื่นบาท ใช้เม็ดเงินราวๆ 5.6 แสนล้านบาท
และจากกระแสข่าว น่าจะเริ่มได้ในช่วงไตรมาส 1 ของปีหน้า ซึ่งแหล่งเงินจะมาจาก 3 ภาพส่วตด้วยกัน คือ
1. การจัดสรรงบประมาณ เช่น รายรับจากภาษีรัฐบาล การบริหารจัดการงบประมาณ และภาษีที่จะถูกจัดเก็บจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ
2. การกู้เงิน
โดยตอนนี้ไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 61.15% และกู้เงินได้ถึง 70% คิดเป็นเงินราวๆ 1.58 ล้านล้านบาท
3. การขายหุ้นของกระทรวงการคลัง
ในนามกองทุนวายุภักษ์ให้ กบข. และประกันสังคม
ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าภาครัฐจะจัดหาเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร
แต่เป้าของการเติบโตที่ 5% ถือว่ามีความเป็นไปได้
และแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อภาคการลงทุน และตลาดหุ้นอย่างมาก
- ทำไมนักลงทุน ถึงกลับมาสนใจหุ้นพลังงาน (อีกครั้ง) ?
- ผู้ว่าแบงก์ชาติ มองไทยเติบโตต่ำคาด ระดับการลงทุนเท่ากับก่อนปี 40
- หุ้นกู้ = ความเสี่ยง 4 ข้อลดความเสี่ยง ถ้าคิดจะลงทุนหุ้นกู้
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส มองว่าถ้าตัดการกระตุ้นเศรษฐกิจออกไป GDP ของไทยปี 2567 น่าจะเติบโตราวๆ 3%
แต่ถ้ามีการกระตุ้นเศรษฐกิจ GDP Growth น่าจะอยู่ระดับ 5% จะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมาก
จากสถิติที่ผ่านมา หาก GDP ไทยโต 5% จะหนุนให้ SET Index มีผลตอบแทนอยู่ที่ 37%
และส่งผลดี 2 ประการด้วยกันคือ
1. ส่งผลให้ EPS Growth ปี 2567 อยู่ที่ 15% ซึ่งถือว่าสูงมาก ถ้าคิดจากทั้งภาพรวมตลาด
2. FundFlow ต่างชาติ หนุนเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย ปริมาณการซื้อขายสูงขึ้น ตลาดหุ้นไทยคึกคัก
และหนุนให้ P/E Ratio ของตลาดหุ้นสูงขึ้นอีกด้วย
บทวิเคราะห์มีมุมมองไปในเชิงบวก
และถ้าเป็นไปแบบนั้นจริงๆ SET Index มีโอกาสได้เห็น 1850 จุด ภายในปีหน้า ครับ
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส