ต้องยอมรับว่าในปี 2565 หุ้น PTTEP เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ Perform ได้ดีกว่า SET Index พอสมควร
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ผลประกอบการของ PTTEP พุ่งแตะระดับ 3.39 แสนล้านบาท กำไรสุทธิสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท
จากที่เคยทำได้อยู่ราวๆ 1.6 - 2.3 แสนล้านบาทและกำไรสุทธิอยู่ราวๆ 3-5 หมื่นล้านบาท
แต่เข้าปี 2566 ตลาดคาดว่าราคาน้ำมันไม่น่าจะพุ่งสูงเหมือนปีที่แล้ว
คำถาม คือ ผลประกอบการของ PTTEP จะยังดีต่อไปหรือไม่ ?
คำตอบ คือ มีแนวโน้มที่จะดีต่อไป
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือแผนงานในอนาคตของ PTTEP ตั้งแต่การเพิ่มมูลค่าในธุรกิจผลิตและสำรวจปิโตรเลียม และการพยายายามลงทุนในธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ AI & Robotics หรือธุรกิจตรวจซ่อมบำรุงใต้น้ำโดยการใช้หุ่นยนต์
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า ผลประกอบการของ PTTEP ไตรมาส 1 น่าจะอยู่ที่ 2.08 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% qoq แต่การเพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่ลดลงอย่างมาก
ซึ่งถ้าเราตัดส่วนนี้ออก ผลประกอบการน่าจะลดลง 8.1% qoq ตามราคาขายที่ลดลง
... สำหรับไตรมาส 2 มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1 เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคาก๊าซและถูกกดันจากปริมาณขายที่ลดลงเนื่องจากมีการ shutdown ของโครงการในอ่าวไทย
อีกทั้งน่าจะได้ปัจจัยบวกระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จากปัญหาการเมืองในตะวันออกกลาง สงครามรัสเซียยูเครนที่ยังไม่จบ และที่สำคัญคือการประชุมกลุ่ม OPEC+ จะปรับลดการผลิตน้ำมันลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ทำให้มีโอกาสสูงที่ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางกำไรของ PTTEP ในปี 2566 อยู่ที่ราคาน้ำมัน
ถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ราวๆ 90 เหรียญต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันระยะยาวเฉลี่ยอยู่ราวๆ 75 เหรียญต่อบาร์เรล
... แนวโน้มของผลประกอบการน่าจะเป็นไปอย่างที่บทวิเคราะห์คาด แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอาจจะต้องมีการกลับมาวิเคราะห์กันใหม่เพิ่มเติม
- ส่องหุ้น AURA เข้าตลาดมาแล้ว 5 เดือน ความน่าสนใจอยู่ตรงไหน ?
- ผลประกอบการของ CBG อาจจะไม่เติบโตอย่างที่คาดหวังไว้
- หุ้น BA จะฟื้นตัวเมื่อไร ในแง่ของผลประกอบการ ?
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจของ PTTEP และจะช่วยเพิ่มการเติบโตอย่างมากของ PTTEP คือการเพิ่มมูลค่าธุรกิจหลัก E&P การกระจายไปยังธุรกิจใหม่
กลยุทธ์การดําเนินธุรกิจของ PTTEP ยังมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนจากภายในสู่ภายนอก โดยคํานึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
ดังนั้น PTTEP จึงกําหนดกลยุทธ์ 3 แนวทางภายใต้กระแสเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน ควบคู่ไปกับการเตรียมทรัพยากรเพื่อรองรับอนาคต ประกอบไปด้วย
1. Drive Value : การขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจผลิตและสํารวจปิโตรเลียม
โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากโครงการปัจจุบัน และการขยายการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ให้ความสําคัญกับการเติบโตแบบ organic growth ซึ่งโครงการใดหากสํารวจเจอปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์จะต้องเร่งผลิตออกมา โดยเฉพาะโครงการในมาเลเซีย
นอกจากนี้ก็ยังมองหากการลงทุน M&A หากมีความน่าสนใจ แต่จะเน้นเฉพาะในพื้นที่ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ในระยะยาว
และ PTTEP มีความชํานาญ รวมถึงการเข้าร่วมประมูลแปลงสัมปทานครั้งที่ 24 ในพื้นที่อ่าวไทย ก็จะให้ความสําคัญเฉพาะในพื้นที่ที่ PTTEP มี facilities ตั้งอยู่แล้ว
2. Decarbonize : การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ EP Net Zero 2050 ภายในปี 2593
3. Diversify : การเติบโตในธุรกิจใหม่
โดยกําหนดเป้าหมายกําไรสุทธิจากธุรกิจใหม่ 20% ของกําไรสุทธิของPTTEP รวมภายในปี 2573 อาทิ การลงทุนของบริษัท AI & Robotics Venture หน่วยธุรกิจตรวจซ่อมบำรุงใต้น้ำ ROVULA ซึ่งเป็นการนําหุ่นยนต์มาใช้ในการซ่อมบํารุงท่อใต้ทะเลครั้งแรกของโลก และพร้อมให้บริการแก่ลูกค้า และพันธมิตร รวมถึงการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า และพลังงานทดแทน
ถือเป็นอีกบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทยที่น่าจับตาอย่างมาก
ผลประกอบการที่มีแนวโน้มดีต่อไป และแผนงานในอนาคตของ PTTEP ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าอย่างมากครับ ...
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส