การจะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งเป็นเรื่องของวงการค้าปลีกด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ท้ายทายอย่างมาก
โดยเฉพาะ CRC ที่ตั้งเป้าระยะยาวในอีก 5 ปีข้างหน้า ในปี 2570 จะเป็นผู้นําค้าการปลีกแบบออนไลน์ในภูมิภาคเอเซีย (Asia’s leading Next-Gen Omni Retailer)
CRC จะทุ่มงบลงทุนไปกว่า 1.5 แสนล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโต 3 ด้านด้วยกันคือ
1. รายได้จะโตขึ้น 2.5 เท่า จากปัจจุบัน (ปี 2564 มีรายได้ 1.95 แสนล้านบาท)
2. กำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า
3. จะมีมูลค่า Market Cap. เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า หรือเกือบๆ 7 แสนล้านบาท จากการเติบโตแบบ Organic growth และการลงทุนใหม่ๆ (Inorganic growth)
- MEB หุ้น IPO ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้
- BVG ผู้นำแพลตฟอร์มธุรกิจประกันด้วย AI และ Big Data
- ตันซันซู กำลังเป็นพระเอกในผลประกอบการของ ICHI
คำถาม คือ ภายใน 5 ปี CRC จะทำอะไรบ้าง ?
1. รายได้โต 12-15% จากปี 2565 จากการขยาย/ปรับปรุงสาขาทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี
2. อัตรากําไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา โต 18%-20% จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น บวกกับการควบคุมค่าใช้จ่าย
3. จำนวนร้านและพื้นที่ขายเพิ่มขึ้น 2 เท่า
4. สัดส่วนการขายแบบออนไลน์ เพิ่มจาก 18% เป็นมากกว่า 20%
5. จำนวนสมาชิก The1 Card เพิ่มเป็น 24 ล้านราย
แน่นอนว่าประเด็นนี้ ตลาดมีมุมมองที่เป็นบวก
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่าการตั้งเป้าหมายของ CRC เป็นความท้าทายที่มีความเป็นไปได้ และสูงกว่าที่ตลาดได้มองเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น หรือ Market Cap. ที่จะเพิ่มอีก 2.5 เท่า
แต่มันจะเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่มีบริษัทในเครือของ CRC จะถูก Spin off เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งในระยะสั้น CRC มีแผนนำบริษัทลูกของ B2S คือ MEB หรือ บมจ.เมพ คอร์ปอเรชั่น เข้าจดทะเบียนและจะเริ่มซื้อขายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2566 นี้
แต่ก็เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กลุ่ม CRC เพียง 9 พันล้านเท่านั้น
ดังนั้น นักลงทุนอาจจะเห็นบริษัทในเครือของ CRC เข้าจดทะเบียนใน ตลท. เพิ่มในอนาคต
------------------------------------------------------------------------------
Reference
งบการเงิน CRC : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย