"อินดิเคเตอร์อาจจะหลอกเราได้ แต่วอลุ่มไม่เคยหลอกใคร" ...
เวลาเราพูดถึงการวิเคราะห์กราฟหุ้น เรามักจะให้ความสำคัญกับ "อินดิเคเตอร์" หรือไม่ก็กราฟแท่งเทียน
แต่มีน้อยมาก ทึ่นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับวอลุ่ม หรือปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวนั้นๆ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว "วอลุ่ม" ถือเป็นศิลปะของการอ่าน "ความสนใจ" ของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
และยังบอก "แนวโน้ม" ของหุ้นตัวนั้นๆได้อีกด้วย
วอลุ่มของหุ้น จะบอกนักลงทุน 3 สิ่งด้วยกัน คือ
1. วอลุ่มบอกถึง "ความน่าสนใจ" ของหุ้นตัวนั้นๆ
พูดง่ายๆ คือ ยิ่งมีการซื้อขายมาก แสดงว่าถูกจับตามอง คนให้ความสนใจจึงเข้ามาซื้อๆขายๆ
2. หุ้นที่วอลุ่มกระโดด อาจจะบอกว่ามีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาช้อนซื้อหรือขาย
3. วอลุ่มที่มากขึ้น จะเป็นการยืนยันแนวโน้มหลัก
แนวโน้มหลัก จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หุ้นขึ้น และหุ้นลง ...
ถ้าหุ้นปรับตัวขึ้น
1. ราคาขึ้น วอลุ่มเพิ่มขึ้น แสดงว่า ราคาหุ้นอาจจะไปต่อ
2. ราคาขึ้น วอลุ่มลดลง แสดงว่า ขึ้นอย่างอ่อนแรง มีโอกาสปรับตัวลง
3. ราคาขึ้นมาสักพัก วอลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย แสดงว่าราคากำลังจะพีค มีโอกาสปรับตัวลง
4. ราคาขึ้นใกล้ยอดเดิม แต่วอลุ่มไม่มากเท่าเดิม แสดงว่า ติดแนวต้าน ราคาขึ้นต่อยาก
ถ้าหุ้นปรับตัวลดลง
1. ราคาลง วอลุ่มเพิ่มขึ้น แสดงว่า ราคาหุ้นอาจจะลงต่อ
2. ราคาลง วอลุ่มลดลง แสดงว่า หุ้นไม่น่าสนใจ คนสนใจน้อย ราคาอาจจะลงต่อได้อีก
3. ราคาลง วอลุ่มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แสดงว่า ราคาอาจจะลงถึงจุดต่ำสุด มีคนช้อนซื้อแบบเงียบๆ โอกาสที่จะขึ้นมีสูง
4. ราคาลงใกล้ฐานเดิม แต่วอลุ่มไม่มากเท่าเดิม แสดงว่า หุ้นมีแนวโน้มจะเด้ง เพราะไม่ทะลุแนวรับ
- สรุป สินทรัพย์เสี่ยงที่มือใหม่ต้องรู้
- วอลุ่มไม่มา ราคาไม่ไป ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะ "ขาดความเชื่อมั่น"
- หุ้นทั่วโลกปันผลรวมกัน 60 ล้านล้านบาท ครึ่งหนึ่งมาจากหุ้นกลุ่มแบงก์
สรุปแล้ว "วอลุ่ม" เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจ "ความสนใจ" ของนักลงทุนในตลาด
และยังเป็นการยืนยันแนวโน้ม หรืออาจจะเป็นจุดเปลี่ยนเทรนที่เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ วอลุ่มควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ประเภทอื่นๆร่วมด้วย
และที่สำคัญที่สุด คือ การเก็งกำไร จะต้องมีจุด Stop loss เสมอ
เผื่อว่าผิดทาง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะได้อยู่ในจุดที่เราควบคุมความเสี่ยงได้ นั่นเองครับ