CNBC รายงานว่า หุ้นทั่วโลกปันผลในปี 2566 อยู่ที่ 60 ล้านล้านบาท
โดยครึ่งหนึ่งมาจากหุ้นกลุ่มแบงก์และสถาบันการเงิน

จากรายงานของ Janus Henderson บริษัทจัดการกองทุนสัญชาติอังกฤษ
รายงานว่า ในปี 2566 บริษัทจดทะเบียนทั่วโลกจ่ายเงินปันผลรวมประมาณ 1.67 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินประมาณ 60 ล้านล้านบาท
โดยบริษัทส่วนใหญ่มีการจ่ายเงินปันผลมากขึ้น รองลงมาเป็นจ่ายเงินปันผลเท่าเดิม แต่มีส่วนน้อยที่จ่ายเงินปันผลน้อยลง

โดยสถิติที่น่าสนใจ คือ กลุ่มประเทศที่มีการจ่ายเงินปันผลมากขึ้น ได้แก่ สหรัฐฯ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, แคนาดา, เม็กซิโก และอินโดนีเซีย
มีการจ่ายเงินปันผลมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2565
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปที่มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นกว่า 10.4% จากปีก่อนหน้า

ในรายงานยังแสดงความคิดเห็นอีกด้วยว่า ครึ่งหนึ่งของเงินปันผลจากทั่วโลกประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มาจากกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มแบงก์ 
โดยสาเหตุมาจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นมา ทำให้อัตราการทำกำไรพุ่งสูงขึ้น
ตัวอย่างเช่น HSBC สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมกับในช่วงก่อนโควิดได้แล้ว อีกทั้งกำไรก็ปรับเพิ่มขึ้นมากหลายเท่าตัวอีกด้วย

ไม่ใช่แค่ HSBS อย่างเดียว แต่ธนาคารรายใหญ่ เช่น JPMorgan, Wells Fargo, Morgan Stanley 
ได้ประกาศแผนเพิ่มเงินปันผลรายไตรมาส หลังผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งกำหนดว่าธนาคารต่าง ๆ จะสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากเพียงใด
ในรายงานยังเสริมอีกด้วยว่า ผลจากความพยายามในการก้าวข้ามโรคโควิด-19 ทำให้การจ่ายเงินปันผลพลิกฟื้นอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งหลัก ๆ จะเห็นได้จากเอชเอสบีซี
ธนาคารในตลาดเกิดใหม่คิดเป็นสัดส่วนสำคัญของการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว แม้ไม่นับรวมธนาคารในจีนก็ตาม

สุดท้าย จากรายงานของ Janus Henderson ยังคาดการณ์อีกด้วยว่าในปี 2567 มูลค่าเงินปันผลทั่วโลกน่าจะแตะระดับ 1.72 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นการเติบโตประมาณ 5% เมื่อเทียบจากปี 2566 ที่ผ่านมา