เมื่อไม่นานมานี้ นักลงทุนจะได้ยินประเด็นข่าวที่น่าสนใจ ว่า
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุน VI ชื่อดังของเมืองไทย ได้ประกาศจัดตั้ง บริษัท ตีแตก จำกัด เพื่อใช้ลงทุนหุ้นต่างประเทศทั่วโลก
โดยมีทุนจดทะเบียน 2,200 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Holding Company ประกอบธุรกิจการลงทุนในหุ้น และทรัพย์สินอื่นๆ
ดร.นิเวศน์ แสดงความคิดเห็นว่า ส่วนตัวมีการปรับแผนการลงทุนไปบ้าง
โดยลงทุนในเวียดนาม 30% ของพอร์ตรวม ที่เหลืออีก 70% เป็นพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทย และมีเงินสดอีกประมาณ 5-6%
เมื่อก่อน มีการลงทุนในต่างประเทศ แต่เป็นในนามของ "ส่วนบุคคล" ซึ่ง ณ เวลานั้นยังไม่มีประเด็นเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่หลังจากมีเรื่องของการเก็บภาษีเข้ามา อาจจะทำให้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อาจต้องเสียมากสุดถึง 35%
เทียบกับการเสียภาษีนิติบุคคล ที่เสียในอัตรา 20% เท่านั้น
แต่หลังจากมีการก่อตั้งบริษัทขึ้นมาแล้ว จะเป็นการลงทุนผ่านบริษัททั้งหมดในต่างประเทศ เพื่อเป็นการประหยัดภาษี
กล่าวคือ จะเป็นการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปเลย ซึ่งเป็นระดับที่พอรับได้ คือ 20% ของกำไร
พูดง่ายๆ คึอ การจัดตั้งบริษัทนี้มีจุดประสงค์ก็เพื่อเป็นบริหารจัดการเรื่องภาษี จากการลงทุนในต่างประเทศ
ในขณะที่การลงทุนในประเทศไทย ดร.นิเวศน์ ก็จะใช้ชื่อบุคคล ลงทุนเหมือนเดิม
ทั้งนี้ ดร.นิเวศน์ ยังได้เล่าอีกว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีการขายหุ้นเวียดนามที่ถือในนามส่วนตัวออกไป
และจะให้บริษัท ตีแตก จำกัด เข้าไปซื้อหุ้นแทน โดยจะเน้นไปที่ตลาดหุ้นเวียดนามก่อน ซึ่งหลักการลงทุนยังเหมือนเดิม คือ
- เน้นหุ้นที่เป็น Super Stock
- เน้นการถือระยะยาว
- เน้นการลงทุนแบบ Value Investing คือดูคุณภาพเปรียบเทียบกับราคา
ก็ถือเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนหุ้นคุณค่าของประเทศไทย
ที่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่เรื่อยๆ
นอกจากจะเน้นไอเดียการลงทุน เจาะตลาดหุ้นเวียดนามแล้ว
ยังมีการวางแผนจัดการบริหารภาษีไปพร้อมๆกัน
ถือเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเรียนรู้ และศึกษาตามไปด้วยครับ ...
- EV/EBITDA คืออะไร ?
- กำไรโต ธุรกิจขยาย Valuation น่าสนใจ 3 ปัจจัยหุ้น BCP ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
- ทำไมราคาหุ้น ถึงแพงกว่ากำไรเสมอ ?
สุดท้าย เมื่อไม่นานมานี้ ดร.นิเวศน์ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Money Chat และพูดมาตลอดว่า
ลดการถือครองหุ้นไทย และหันไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
และมีการแชร์ไอเดียเพิ่มเติมว่า มีการปรับพอร์ตเป็น 3 ส่วน ด้วยกัน คือ
1. ลงทุนในหุ้นเวียดนาม
ซึ่งจะถือหุ้นผ่านนิติบุคคล ซึ่งก็คือ บริษัท ตีแตก จำกัด เน้นลงทุนในหุ้น Super Stock ประมาณ 30 กว่าตัว
2. ลงทุนใน DR หรือกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ
เน้นลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ ที่เป็นแบรนด์ระดับโลก และมีธุรกิจแข็งแกร่ง
โดยอาจจะเข้าซื้อกองทุนรวม หรือแม้แต่ DR ที่สามารถซื้อขายผ่านแอป Streaming ได้เลย
3. หุ้นไทย
ดร. ให้ไอเดียว่า เป็นหุ้นที่มั่นคง ปลอดภัย เน้นถือยาวเพื่อกินปันผล และไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะสุดท้ายแล้วส่วนตัวยังคงอาศัยอยู่เมืองไทยต่อไป และเข้าใจคุ้นเคยบริษัทจดทะเบียนไทยมากกว่าการศึกษาหุ้นต่างประเทศ