เวลาเราอ่านข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ สิ่งที่เรามักจะได้ยิน คือ FED มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงในปีหน้า
โดย FED Watch Tool ส่งสัญญาณว่าปีหน้าอาจจะเห็น FED ลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง
และปี 2568 จะลดอีก 2 ครั้ง ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เล่นกันใน Valuation ที่แพงขึ้น
ถ้าเราหันไปดูตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็คงไม่แปลกใจ
ดัชนี S&P500 ปีนี้ให้ผลตอบแทนไปแล้ว +25% YTD
ดัชนี Dow Jones ปีนี้ให้ผลตอบแทนไปแล้ว +13% YTD
ที่น่าสนใจ คึอ ดัชนีหุ้น NASDAQ ให้ผลตอบแทนไปแล้ว +43% YTD
ในเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า
1. ดอกเบี้ยโลกน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
2. FED กำลังจะลดดอกเบี้ย
คำถาม คือ แล้วประเทศไทยละ ? จะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อไร
คำตอบ คือ เราอาจจะเห็นดอกเบี้ยของไทย ลด "ช้ากว่าที่คิดเอาไว้" ...
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกรไทย วิเคราะห์ว่า ธปท. จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง ...
พูดง่ายๆ คือ อย่าคาดหวังว่าไทยจะลดดอกเบี้ยในเร็วๆนี้
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% จนถึงปี 2567
และมีโอกาสน้อยมากที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง
หรือถ้าจะมีการลดดอกเบี้ยจริงๆ น่าจะเกิดขึ้นตอนปลายปี 2567 สาเหตุเป็นเพราะว่า การขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านมา ขึ้นน้อยและล่าช้ากว่า เมื่อเทียบกับที่อื่น อีกทั้งจำนวนครั้งในการปรับขึ้นก็น้อยกว่าด้วย
โดยธนาคารกลางบางแห่งเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่กลางปี 2564
และธนาคารกลางสำคัญๆ เช่น Fed และ ECB เริ่มปรับขึ้นในช่วงกลางปี 2565
ขณะที่ ธปท.เริ่มในช่วงเดือนสิงหาคม 2565 โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 489bps
แต่ ธปท.ปรับขึ้น 200bps จาก 0.50% เป็น 2.50% ในเดือนกันยายน 2566
- เจาะประเด็น Bloomberg มองตลาดหุ้นไทย ทำไมกำลังเข้าสู่สภาวะ Bear Market ?
- "ทองคำ" สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ควรมองอย่างไรในปี 2567
- ภาพตลาดหุ้นไทยปีหน้า SET Index ควรอยู่ที่เท่าไร ?
เมื่อไม่นานมานี้ ธปท. เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังอยู่บนเส้นทางของการฟื้นตัว แต่การฟื้นตัวดูไม่ทั่วถึงและช้ากว่าคาด
เห็นได้จาก GDP ไทยเติบโตเพียง 1.5% YoY ในไตรมาส 3/2566 ซึ่งไม่เพียงแต่จะอ่อนแอกว่าช่วงก่อน แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้อีกด้วย
โดยสิ่งที่ฟื้นตัว คือ การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออก
ในขณะที่ภาคการผลิตยังคงฟื้นตัวช้า
ธปท. มองว่า ปี 2566 เงินเฟ้อของไทยน่าจะอยู่ราวๆ 1.3%
และจะเพิ่มเป็น 2% ในปี 2567 ตามราคาอาหารที่สูงขึ้นจากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญ
ราคาพลังงานที่สูงขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
และมาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและพลังงานของรัฐบาลที่กำลังจะสิ้นสุดลงในปีหน้า
โดยภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยไม่ได้มีความร้อนแรงมากจนเกินไป ไม่ว่าจะมองในด้านของการเติบโตของ GDP หรืออัตราเงินเฟ้อที่พุ่งทะยาน
ดังนั้น ธปท. มองว่า ดอกเบี้ย ณ ระดับนี้มีความสมดุลอยู่แล้ว
ซึ่งหมายความว่า การปรับลดดอกเบี้ยไม่มีความจำเป็น และเราอาจจะเป็นการลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คิด นั่นเอง ...
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกรไทย