เราเคยสงสัยไหมว่า ทำไมตอนเราเข้ามาตลาดใหม่ๆ
หรือขนาดพอร์ตการลงทุนเรายังเล็ก ยังไม่ค่อยมีความมั่นใจ
เราสามารถซื้อขาย ทำกำไรจากหุ้น
แต่เมื่อพอร์ตเราเริ่มใหญ่ขึ้น มีความมั่นใจขึ้น
กลับขาดทุนซะอย่างนั้น และเป็นการขาดทุนแบบหนักๆด้วย
สาเหตุเป็นเพราะว่า เมื่อพอร์ตเราใหญ่ขึ้น ความเสี่ยงจะมากขึ้น
ประสิทธิภาพในการตัดสินใจของเราจะด้อยลง
ในหนังสือ Come into my trading room อธิบายไว้ว่า
ในระเบียบของเทรดเดอร์ ในนามของบริษัทหลักทรัพย์จะมีกฏเหล็กอยู่ว่า ถ้าเทรดเดอร์คนไหนผลงานย่ำแย่ลง
จะต้องเทรดด้วยปริมาณเงินที่น้อยลง
ตัวอย่างเช่น เริ่มต้นที่ 10,000 หุ้น ถ้าพลาดอีกให้เหลือ 5,000 หุ้น
ถ้ายังขาดทุนอีกให้เหลือ 1000 หุ้น 700 หุ้น 500 หุ้น ลดลงไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งต่ำสุด คือ 100 หุ้น
ถ้าผลงานการเทรดครั้งละ 100 หุ้น ทำงานผลงานได้ดีภายใน 2 สัปดาห์
โบรกเกอร์จะเริ่มอนุญาตให้เทรดวงเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าการซื้อขายครั้งละ 100 หุ้น จะไม่ได้สร้างกำไรหรือขาดทุนอะไรมากนัก แต่สาเหตุสำคัญที่บริษัทให้ทำแบบนั้นเพราะต้องการลดความกดดันลง
โดยให้เหตุผลว่า เมื่อวงเงินการซื้อขายเรายิ่งมาก ความเสี่ยงก็จะมากตาม
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหุ้นต่อออเดอร์ในการซื้อขาย หรือจำนวนหลักทรัพย์ที่มากขึ้น
เมื่อสิ่งเหล่านี้มีมากขึ้น ประสิทธิภาพในการตัดสินใจของเราจะลดลง
- ภาษี VAT สร้างความเหลื่อมล้ำ จริงหรือ ?
- รู้จัก SISB ธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์ รายได้ทรงตัวแต่กำไรเพิ่มมากขึ้น ทำได้อย่างไร ?
- อาชีพในฝัน-เต้นรำไปทำเงิน
ในหนังสือได้อธิบายให้เห็นภาพว่า ..
สมมุติให้คนกระโดดข้ามคูน้ำตื้นๆที่มีความกว้างประมาณ 1 เมตร ถ้าใครทำได้จะได้เงินรางวัล 10 ดอลลาร์
ทุกคนก็พร้อมที่จะทำ เพราะเป็นเรื่องง่ายๆ หรือถ้าพลาดขึ้นมาก็อาจจะทำให้รองเท้าสกปรกไปบ้าง
ในทางกลับกัน ถ้าให้คนกระโดดข้ามตึกสูงที่ระหว่างตึกมีความกว้างประมาณ 1 เมตร ถ้าใครทำได้จะได้เงินรางวัล 1,000 ดอลลาร์
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าทำ เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าพลาดขึ้นมาอาจจะหมายถึงชีวิต
โดยสรุปแล้ว เมื่อความเสี่ยงของสถานการณ์เฉพาะหน้าสูงขึ้น ประสิทธิภาพของมนุษย์เราจะด้อยลงโดยธรรมชาติ
ดังนั้น ถ้าเรายิ่งพลาด เราต้องหยุดการซื้อขาย
ตั้งสติให้ดีและซื้อขายในปริมาณเงินที่ลดลง เพื่อลดแรงกดดัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจให้ดียิ่งขึ้นครับ ...