#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน
#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

KLINIQ โอกาสในการเติบโตของธุรกิจความงาม ที่มาควบคู่กับความเสี่ยง ในแง่ราคาหุ้น

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
523 views

ธุรกิจหนึ่งในประเทศไทยที่มีโอกาสในการเติบโตเร็วมาก คือ ธุรกิจความงาม
โดยเฉพาะหุ้น KLINIQ หรือ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) 
ที่เข้ามาตลาดมาได้ไม่นาน ก็มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

หุ้น KLINIQ เข้ามาซื้อขายวันแรก คือวันที่ 7 พฤษจิกายน 2565 ที่ราคาพาร์ 0.5 บาท และ IPO อยู่ที่ 24.50 บาท 
โดยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า KLINIQ ดำเนินธุรกิจคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงาม ศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ 
ภายใต้ชื่อ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) และ LabX

 

คำถาม คือ ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของ KLINIQ
จะยังเติบโตอย่างที่นักลงทุนคาดหวังได้อีกไหม ?
คำตอบ คือ เราจะได้เห็นผลประกอบการของ KLINIQ เติบโตต่อ ...
และรายได้จะแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร วิเคราะห์ว่าแนวโน้มผลประกอบการ 2Q66 น่าจะอยู่ที่ 71 ล้านบาท เติบโต +3% QoQ และ +30% YoY ซึ่งมาจากการเติบโตของรายได้ที่แตะ All Time High อยู่ที่ 530 ล้านบาท เติบโตมากถึง 50% 
สาเหตุเป็นเพราะว่ามาจากการเปิดสาขาใหม่ 
ไม่ว่าจะเป็น KLINIQ, LabX และศูนย์ศัลยกรรมเพิ่มเป็น 45 สาขา จากเดิม 43 สาขา
ฝ่ายวิจัย คาดว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เงินสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 544 ล้านบาท เติบโตมากถึง 27% YoY

 

ฝ่ายวิจัยมองว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 จะเป็นไปในเชิงบวก ทำให้กำไรในครึ่งปีหลังจะยังเป็นโมเมนตัมเชิงบวกส่งต่อไป 
ส่งผลให้ P/E Ratio น่าจะอยู่ราวๆ 25 เท่า ถือว่าไม่แพงมาก (ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 31.6 เท่า)
ถือว่าเป็นโอกาสในธุรกิจความงามที่นักลงทุนน่าจับตา

 

แต่เราจะมองเป็นโอกาสอย่างเดียวไม่ได้
เพราะหุ้น KLINIQ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงด้วยเหมือนกันในแง่ "ราคาหุ้น"
ฝ่ายวิจัย วิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นปรับตัวลงราวๆ 13% ตั้งแต่ต้นปี เทียบกับ SET ที่ -5% สาเหตุเพราะนักลงทุนยังกังวลต่อจำนวนหุ้นที่กำลังจะหลุดจากเวลาห้ามซื้อขาย (Silent Period)

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีจำนวนหุ้นอยู่ราวๆ 69.25 ล้านหุ้น คิดเป็น 31% ของจำนวนหุ้นสามัญ ได้ครบกำหนดสิ้นสุดระยะเวลาห้ามซื้อขาย 
นี้น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หุ้น KLINIQ ปรับตัวลง ...
หลังจากนี้ คือ วันที่ 6 พฤษจิกายน 2566 จะมีหุ้นอีก 90.75 ล้านหุ้น สิ้นสุดกำหนดห้ามซื้อขาย ซึ่งตรงกับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 พอดี 
เชื่อว่ายังเป็นปัจจัยกังวลที่นักลงทุนน่าจะยังกังวลว่าอาจจะถูกเทขายออกมมา ...

นอกจากนี้ ในแง่ของผลประกอบการก็อาจจะไม่ได้ดูดีไปหมดซะทีเดียว เพราะ
1. ฝ่ายวิจัยมองว่าอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มลดลง จากช่วงแรกของการเปิดสาขาใหมม่ ต้นทุนค่าซื้ออุปกรณ์ต่างๆ
2. SG&A ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา ..

ผลประกอบการของ KLINIQ ที่ผ่านมา ..
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 952.14 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 129.26 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 1.64 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 205.49 ล้านบาท
ปี 2566 ไตรมาส 1 บริษัทมีรายได้ 514..81 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 69.06 ล้านบาท
โดยมีอัตรากำไรสุทธิ สูงถึงราวๆ 14%



สรุปแล้ว KLINIQ คือโอกาสในธุรกิจความงามที่ยังเติบโตได้อีกมาก และมีศักยภาพเพียงพอที่จะขับเคลื่อนรายได้และกำไรต่อไป 
แต่สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ ปัจจัยด้านราคาหุ้นที่จะมีหุ้นไม่ติด Silent Period อีกในช่วงไตรมาส 3 ยังคงสร้างคำถามต่อนักลงทุนว่าหุ้นจำนวนนี้จะถูกเทขายลงมาอีกไหม ?

ถือว่าเป็นโอกาสของธุรกิจ ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงในแง่ราคาหุ้น ครับ ...

------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร

สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง