ถ้าเราพูดถึงอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต
เชื่อว่า "สุขภาพ และความงาม" น่าจะเป็นอันดับต้นๆที่นักลงทุนให้ความสนใจ
และบริษัทที่น่าสนใจอย่างมากที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจความสวย ความงาม คือ KLINIQ หรือ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน)
หุ้น KLINIQ เข้ามาซื้อขายวันแรก คือวันที่ 7 พฤษจิกายน 2565 ที่ราคาพาร์ 0.5 บาท และ IPO อยู่ที่ 24.50 บาท
โดยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า KLINIQ ดำเนินธุรกิจคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงาม ศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ
ภายใต้ชื่อ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) และ LabX
ปัจจุบันมีทั้งหมด 41 สาขา ครอบคลุม 15 จังหวัด ทั่ว 5 ภูมิภาค
ของประเทศไทย
ผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมา
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 952.14 ล้านบาท และกำไสุทธิ 129.36 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 1.64 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 205.49 ล้านบาท
โดยโครงสร้างรายได้แบ่งออกคร่าวๆเป็น
... รายได้จากการบริการ สัดส่วนรายได้ 92%
... รายได้จากการบริการ - อัตราการสละสิทธิ สัดส่วนรายได้ 6%
... รายได้จากการขายเวลสำอางค์ สัดส่วนรายได้ 2%
... รายได้อื่นๆ เช่น รายได้ค่าเช่าและบริการช่วง กำไจากการจำหน่ายสินทรัพย์ สัดส่วนรายได้ 1%
จะเห็นได้ว่าบริษัทมีรายได้และกำไรที่เติบโตในช่วง 2 ปีหลัง
และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงมากถึงเกือบ 60%
แต่ถ้าเราไปสำรวจราคาหุ้น พบว่าลดลงกว่า 10% จากวันที่เข้ามาซื้อขายวันแรก
คำถาม คือ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
คำตอบ น่าจะเป็นเรื่องของ Sentiment ตลาดช่วงนี้มีความผันผวนสูงมาก ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงน่าจะส่งผลกระทบให้นักลงทุนบางส่วนเทขายหุ้น KLINIQ
ประเด็นสำคัญ คือ การเทขายของตลาด
แสดงว่า ตลาดกำลังมองผลประกอบการของ KLINIQ มีแนวโน้มไม่ดี
คำตอบ คือ ไม่ใช่
ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนอาจจะได้เห็นผลประกอบการของ KLINIQ ทำจุดสุงสุดใหม่ในผลประกอบการที่จะกำลังประกาศออกมานี้
- SCCC กำลังมีสัญญาณของผลประกอบการที่ฟื้นตัว
- นักลงทุนอาจจะไม่ได้เห็นปรากฏการณ์ Sell In May ในปี 2566
- ทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้ ถึงสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร แสดงความคิดเห็นว่า KLINIQ จะรายงานกำไรอยู่ที่ 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% QoQ และ 41% YoY
และรายได้อยู่ที่ 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% QoQ และ 54% YoY
จากการเพิ่มสาขาที่มากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มสาขาจะส่งผลให้ค่าเสื่อมราคาและต้นทุนพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่
แต่สุดท้าย EBITDA จะกลับมาเพิ่มขึ้นเพราะบริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี และรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นเรื่องของค่าเสื่อมมากกว่า
พูดง่ายๆ คือ นักลงทุนกำลังเห็นรายได้ที่ขยายตัว กำไรที่กำลังเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตของกำไรปกติทั้ง QoQ และ YoY
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร ยังเน้นย้ำอีกด้วยว่า ราคาหุ้น KLINIQ ดูไม่แพง ด้วย P/E ที่ 32.6 เท่า
และถ้าเราคิดแบบ Forward P/E น่าจะอยู่ราวๆ 25.1 เท่าในปี 2567
ความสำเร็จในการขยายสาขา ประกอบกับราคาหุ้นที่ลดลงราวๆ 10% น่าจะเป็นการเปิด Upside ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
ที่สำคัญที่สุด KLINIQ กำลังอยู่ระหว่างมองหาการลงทุนใหม่ที่เราคาดว่าน่าจะเป็น Upside risk ต่อมูลค่าหุ้นในอนาคต ....
ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้น ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามครับ
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร
งบการเงิน : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
รานงานประจำปี 2565 บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน)