#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน
#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

KLINIQ คลินิกความงาม 9 พันล้าน ที่นักลงทุนกำลังจะเห็นกำไร All Time High

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
891 views

ถ้าเราพูดถึงอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต
เชื่อว่า "สุขภาพ และความงาม" น่าจะเป็นอันดับต้นๆที่นักลงทุนให้ความสนใจ
และบริษัทที่น่าสนใจอย่างมากที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจความสวย ความงาม คือ KLINIQ หรือ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน)

 

หุ้น KLINIQ เข้ามาซื้อขายวันแรก คือวันที่ 7 พฤษจิกายน 2565 ที่ราคาพาร์ 0.5 บาท และ IPO อยู่ที่ 24.50 บาท 
โดยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า KLINIQ ดำเนินธุรกิจคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงาม ศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ 
ภายใต้ชื่อ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) และ LabX
ปัจจุบันมีทั้งหมด 41 สาขา ครอบคลุม 15 จังหวัด ทั่ว 5 ภูมิภาค
ของประเทศไทย

 

ผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมา
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 952.14 ล้านบาท และกำไสุทธิ 129.36 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 1.64 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 205.49 ล้านบาท
โดยโครงสร้างรายได้แบ่งออกคร่าวๆเป็น
... รายได้จากการบริการ สัดส่วนรายได้ 92%
... รายได้จากการบริการ - อัตราการสละสิทธิ สัดส่วนรายได้ 6%
... รายได้จากการขายเวลสำอางค์ สัดส่วนรายได้ 2%
... รายได้อื่นๆ เช่น รายได้ค่าเช่าและบริการช่วง กำไจากการจำหน่ายสินทรัพย์ สัดส่วนรายได้ 1%

จะเห็นได้ว่าบริษัทมีรายได้และกำไรที่เติบโตในช่วง 2 ปีหลัง
และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงมากถึงเกือบ 60% 
แต่ถ้าเราไปสำรวจราคาหุ้น พบว่าลดลงกว่า 10% จากวันที่เข้ามาซื้อขายวันแรก 
คำถาม คือ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ? 
คำตอบ น่าจะเป็นเรื่องของ Sentiment ตลาดช่วงนี้มีความผันผวนสูงมาก ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงน่าจะส่งผลกระทบให้นักลงทุนบางส่วนเทขายหุ้น KLINIQ

 

ประเด็นสำคัญ คือ การเทขายของตลาด 
แสดงว่า ตลาดกำลังมองผลประกอบการของ KLINIQ มีแนวโน้มไม่ดี
คำตอบ คือ ไม่ใช่
ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนอาจจะได้เห็นผลประกอบการของ KLINIQ ทำจุดสุงสุดใหม่ในผลประกอบการที่จะกำลังประกาศออกมานี้

 

 

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร แสดงความคิดเห็นว่า KLINIQ จะรายงานกำไรอยู่ที่ 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% QoQ และ 41% YoY
และรายได้อยู่ที่ 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% QoQ และ 54% YoY 
จากการเพิ่มสาขาที่มากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง 
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มสาขาจะส่งผลให้ค่าเสื่อมราคาและต้นทุนพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่
แต่สุดท้าย EBITDA จะกลับมาเพิ่มขึ้นเพราะบริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี และรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นเรื่องของค่าเสื่อมมากกว่า 
พูดง่ายๆ คือ นักลงทุนกำลังเห็นรายได้ที่ขยายตัว กำไรที่กำลังเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตของกำไรปกติทั้ง QoQ และ YoY

 

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร ยังเน้นย้ำอีกด้วยว่า ราคาหุ้น KLINIQ ดูไม่แพง ด้วย P/E ที่ 32.6 เท่า 
และถ้าเราคิดแบบ Forward P/E น่าจะอยู่ราวๆ 25.1 เท่าในปี 2567
ความสำเร็จในการขยายสาขา ประกอบกับราคาหุ้นที่ลดลงราวๆ 10% น่าจะเป็นการเปิด Upside ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
ที่สำคัญที่สุด KLINIQ กำลังอยู่ระหว่างมองหาการลงทุนใหม่ที่เราคาดว่าน่าจะเป็น Upside risk ต่อมูลค่าหุ้นในอนาคต ....

ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้น ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามครับ

------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกร

งบการเงิน : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

รานงานประจำปี 2565 บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) 

การเงินการธนาคาร


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง