ผลประกอบการของ SCC ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ..
โดยกำไรสุทธิไตรมาส 1 อยู่ที่ 758 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นมากถึง +183.9% QoQ แต่ลดลง -5.5% YoY (ไตรมาส 4 ปี 2565 ขาดทุน 903 ล้านบาท)
โดยสาระสำคัญของผลประกอบการครั้งนี้ คือ
1. รายได้อยู่ที่ 1.13 หมื่นล้านบาท ลดลง -8.7% QoQ และ - 9.7% YoY โดยสาเหตุมาจากต้นปริมาณการขายที่ลดลงในธุรกิจปูนซีเมนต์ และถูกกดันจากตลาดเวียดนามรวมถึงศรีลังกา
สำหรับในไทย ความต้องการลดลงเล็กน้อย
2. บริษัทแก้ปัญหาโดยการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น แต่มาร์จิ้นกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น รวมถึงค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
3. ไม่มีรายจ่ายพิเศษ
ในขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2565 มีรายจ่ายพิเศษมากถึง 763 ล้านบาท แบ่งออกเป็นภาษี 683 ล้านบาทจากการขึ้นภาษีของรัฐบาลศรีลังกา จาก 18% เป็น 30%
และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 80 ล้านบาท
4. EBITDA ดูดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 เป็นสัญญาณของการฟื้นตัว
5. Margin อยู่ที่ 12.3% จากเดิม 6.4% สาเหตุมาจากต้นทุนลดลง ค่าไฟถูกลง และไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเต่เผา และส่วนแบ่งกำไรดีขึ้นโดยเฉพาะในกัมพูชา
- นักลงทุนอาจจะไม่ได้เห็นปรากฏการณ์ Sell In May ในปี 2566
- นักลงทุนกำลังจะเห็น SCGP ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
- ผลประกอบการของ BBL กำลังดูดีขึ้นเรื่อยๆ
จากผลประกอบการที่ออกมา ภาพรวมของ SCCC คือการฟื้นตัว
แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ถ้าเทียบจากผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัทที่เคยทำได้ ราวๆ 3-4 พันล้านบาท (เฉลี่ยไตรมาสราวๆพันล้านบาทขึ้น)
แต่นี้ถือเป็นทิศทางที่ดี และสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างช้าๆ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่ารายได้ของ SCCC จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นจากการขึ้นราคาขาย และต้นทุนพลังงานที่ค่อยๆลดลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาถ่านหิน และค่าไฟฟ้าที่ถูกลง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวล คือ การลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดเวียดนามและศรีลังกา
โดยเวียดนามกำลังเจอกับวิกฤตอสังหาริมทรัพย์
ส่วนศรีลังกา กำลังเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ
ดังนั้น SCCC มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นตัวแบบช้าๆ ...
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์
คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย