ทำไมหุ้นไทยถึงอ่อนแอ เมื่อเทียกับหุ้นโลก ?
1.เศรษฐกิจไทยในปี 2566 โตช้ากว่าที่คิดไว้มาก
นักวิเคราะห์ต่างก็คาดการณ์กันว่า เศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตได้ดี เพราะการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวกับมา แต่กลายเป็นว่านักท่องเที่ยวเข้ามาช้ากว่าที่คิดไว้โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน เศรษฐกิโลกชะลอตัว ตัวเลขส่งออกค่อนข้างแย่
บวกกับผลประกอบการหุ้นไทยไม่ค่อยดี และมีแนวโน้มลดลง
2. การเลือกตั้งที่เหมือนจะดี แต่กลับมีความไม่ชัดเจนหลายอย่าง
การเลือกตั้งออกมาแบบไม่มีประเด็นติดขัด
แต่พอเลือกเสร็จกลับไม่มีความชัดเจนหลายอย่าง เช่น นายกคือใครผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วยังไม่ชัดเจน ใครจะได้จัดตั้งรัฐบาล
แล้วพรรคไหน จะรวมกับพรรคไหน แล้วจะเปลี่ยนขั้วเมื่อไร
ตลาดหุ้นไม่ชอบความคลุมเครือ ทำให้ลากยาวมาเรื่อยๆ และอาจจะกินเวลาไปจนถึงช่วงต้นเดือนสิงหาคม ก็อาจจะเป็นไปได้
3. ความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่
ต้องยอมรับว่า นโยบายการทำลายทุนผูกขาด ที่อาจเข้ามากดดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ดำเนินกิจการสัมปทานภาครัฐอยู่
รวมทั้งนโยบายการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำแบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ที่อาจจะนำมาซึ่งการเก็บภาษีหลาย ๆ รายการของกิจการในตลาดทุน โดยเฉพาะกิจการขนาดใหญ่ แล้วนำเงินที่ได้เอามาแจกจ่ายหรือเป็นสวัสดิการรัฐ เป็นต้น
ซึ่งมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และการคาดการณ์กำไรในอนาคตของกิจการอย่างแน่นอน
ส่งผลให้มูลค่าหุ้นที่ได้จากการประเมินมีโอกาสปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนยังคงไม่มั่นใจการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมือง นอกจากนี้ เมื่อมองในเชิงวัดมูลค่า ประเมินการเติบโตของกำไรกิจการในตลาดหุ้นไทยด้วยแล้ว ยังถือว่าไม่น่าสนใจเท่าไรนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ
แต่การจะบอกว่าหุ้นไทยไม่น่าลงทุน อาจจะเป็นความเข้าใจที่ผิดและด่วนสรุปเร็วจนเกินไป
ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญในครึ่งปีหลัง คือ เศรษฐกิจโลกกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความท้าทาย การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จำนวน 7 ครั้งตลอดทั้งปี 2565 และปรับขึ้นอีก 3 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 กระทั่งคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงถึง 5.25% แม้ว่าจะมีการหยุดขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ครั้งล่าสุด แต่ก็ยังมีโอกาสปรับขึ้นอีก 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
ผลของอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นสูง ทำให้มีโอกาสจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 หรือไตรมาส 1 ปี 2567 โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะติดลบเล็กน้อย แม้จะไม่ได้ถดถอยอย่างรุนแรงแต่ก็จะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ อย่างแน่นอน ผลของเรื่องนี้ประกอบกับการปรับขึ้นล่วงหน้าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะหมุนกลับมาสู่ประเทศที่ยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังมีความน่าสนใจในเชิง Valuation อยู่
ครึ่งปีแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนที่เคยเป็นหลุมหลบภัย อีกทั้งยังมีประเด็นการเมืองเข้ามากดดันเพิ่มเติม ทำให้ Valuation ตอนนี้มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะการมองข้ามรอบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นและเศรษฐกิจถดถอยนี้ไป เมื่อทุกอย่างสงบลง เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลง ผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะเริ่มกลับมา การซื้อและถือไว้ในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็น 1-2 ปีจากนี้ ในหุ้นดีที่ราคาเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นหุ้นแข็งแกร่ง หุ้นปันผล กอง REITs กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และราคาอยู่ในโซนล่าง ก็จะเห็นราคาหุ้นที่มีโอกาสกลับมาสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็นได้ และเติบโตต่อไปได้
ดังนั้น แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนลดลง -6.6% แต่ในช่วงครึ่งหลัง ถ้าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดี การส่งออกฟื้นตัว การท่องเที่ยวฟื้นตัวดี การบริโภคในประเทศฟื้นตัวดี และการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไปสู่รัฐบาลใหม่ได้อย่างราบรื่นดี จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยและการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก และนักลงทุนอาจจะได้เห็น SET Index กลับมาสดใสได้ในครึ่งปีหลัง เหมือนกับที่ตลาดหุ้นไทยเคยให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกในครึ่งปีหลังมาตลอด 3 ปีล่าสุด
- 8 เรื่องหุ้น ที่ผมอยากบอกคุณของ “แพท” ภาววิทย์ กลิ่นประทุม จากคลาสเรียน BullMoon Exclusive
- คว้าโอกาส ตอนหุ้นโดยเท
- สรุปคำแนะนำจากวอเร็น บัฟเฟตต์ และชาลี มังเกอร์ ในงานประชุม Berkshire Hathaway 2023
- ศิลปะการลงทุนระยะยาว
ตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ โอกาสของหุ้นไทยยังมี หาหุ้นดีที่ราคาคุ้มค่าให้เจอ
สำหรับนักลงทุนรายย่อย โอกาสของการทำกำไรอาจไม่ได้อยู่ที่การทำนายภาพใหญ่ว่า SET Index จะเป็นอย่างไร แต่มาจากการมองหาหุ้นดีที่ราคาเหมาะสม (หรือ ราคาถูกเป็นพิเศษ) ให้เจอ แล้วเข้าลงทุน ถือไว้อย่างมั่นใจ หากเราเข้าลงทุนหุ้นรายตัวในปีนี้ หุ้นบางตัวอาจจะต้องรอถึงปี 2567 เพื่อให้ผลประกอบการฟื้นตัว หุ้นบางตัวอาจต้องรอถึง 3 ปี เพื่อให้ถึงจุดที่กิจการทำได้ตามแผนกลยุทธ์ธุรกิจและผลประกอบการกำลังจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด หากเราไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของกิจการอย่างแท้จริง ไม่สามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างมีเหตุผล เราจะพลาดโอกาสการลงทุนไปอย่างมากมาย
นักลงทุนต้องมองภาพให้ออกและเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม ทั้งในมุมการฟื้นตัวจากผลประกอบการที่ย่ำแย่มาเป็นปกติ และในมุมผลประกอบการปกติกลายมาเป็นเติบโตอย่างมหัศจรรย์ ในช่วงที่เกิดวิกฤติเราควรจะมองหาว่ากิจการใดที่จะอยู่กับเราต่อไปในอนาคต จะฟื้นตัว และจะเติบโต เราต้องมองให้ออกว่าใครคือผู้ชนะจากการฟื้นตัวของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วโอกาสในการทำกำไรในตลาดหุ้นไทยก็จะอยู่กับเรา