1. ธุรกิจยานยนต์ เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างยากเพราะมีคู่แข่งระดับโลกที่เก่งๆเยอะ
อีกทั้งบริษัทต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการวิจัย พัฒนา ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าสินค้าจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน
2. ความแตกต่างระหว่างอีลอน มัสก์ และวอเร็น บัฟเฟตต์
อีลอน มัสก์ เป็นคนที่เก่ง เขาทำงานที่ยากๆ และลงมือทำมัน
ในขณะที่บัฟเฟตต์ และมังเกอร์ ทำงานที่ง่ายๆที่พวกเขาสามารถระบุปัญหาของมันได้
3. คำแนะนำในการใช้ชีวิตของทั้ง 2 ปู่
บัฟเฟตต์ แนะนำว่า ทำในสิ่งที่รักและเข้าใจมันเป็นอย่างดี อย่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ และอย่าเป็นหนี้
มังเกอร์ แนะนำว่า อย่าไปคบคนที่ชอบคิดลบ (toxic people)
4. ดอลลาร์ยังคงแข็งแกร่ง
บัฟเฟตต์ บอกว่า ดอลลาร์จะยังคงเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลกต่อไปอีกนาน ผมยังมองไม่เห็นว่าจะมีเงินสกุลอื่นใดมาแทนที่ดอลล่าร์ได้ในเร็ววันนี้
5. อย่าคาดหวังผลตอบแทนสูงๆจากการเป็น VI
มังเกอร์ บอกว่า นักลงทุน VI อย่าคาดหวังผลตอบแทนสูงๆจากการเป็น VI และควรเริ่มชินกับการที่ผลตอบแทนของคุณอาจไม่เยอะเหมือนสมัยก่อน
6. การมี AI ช่วยในการลงทุน ไม่ได้ทำให้ผลตอบแทนเราดีขึ้น
บัฟเฟตต์ บอกว่า การเข้ามาของ AI มาเป็นตัวช่วยในการลงทุนเป็นเรื่องดี แต่การลงทุนแบบ VI ก็ยังไปต่อได้ ไม่ได้โดนดิสรัปแต่อย่างใด
ก็เหมือนกับการมีไฟฟ้า เครื่องบิน รถยนต์เหมือนสมัยก่อน โลกเปลี่ยนไปเยอะ คนสะดวกขึ้น แต่การลงทุนก็ยังเหมือนเดิม ยังหาโอกาสได้อยู่
โอกาสที่แท้จริง มาจากการที่คนอื่นทำเรื่องผิดพลาด (เรื่องโง่ๆ)
ซึ่งแม้จะมี AI มีเทคโนโลยีมาช่วยเรื่องก็ยังไม่หมด ดีไม่ดีจะมีคนโง่มากขึ้นกว่าเดิมเพราะมีคนที่เก่งกว่าหลอกให้คนอื่นๆทำอะไรโง่ๆได้ง่ายกว่าเดิม
7. ความผิดพลาดส่วนใหญ่มาจากการมองอะไรสั้นเกินไป
มังเกอร์ บอกว่าคนชอบมองระยะสั้นเกินไป แทนที่จะมองยาวๆ
และเชื่อว่าในอนาคต มันจะมีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้นอีกเยอะมาก
8. กำไรเป็นเรื่องสำคัญ แต่ network effect สำคัญกว่ามากในอนาคต
บัฟเฟตต์ บอกว่า บริษัทที่ดี คือบริษัทที่มีกำไร แต่ในบางครั้งบริษัทจะต้องลงทุนในสิ่งที่ไม่สร้างกำไรเพื่อสร้าง network effect ในอนาคต เพราะมันจะกลายมาเป็น moat ที่เป็นจุดเด่นของบริษัท
9. เราสามารถฉลาดขึ้นได้ด้วยการอ่าน
บัฟเฟตต์ บอกว่าการอ่านทำให้เราฉลาดขึ้น แม้จะนั่งเฉยๆในออฟฟิศ เราก็สามารถฉลาดเพิ่มขึ้นได้ด้วยเหมือนกัน
"การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ เราจะต้องเรียนรู้ไม่หยุด อะไรคือธุรกิจที่ดี อะไรคือธุรกิจที่แย่
ทำไมจากที่ดีถึงกลายเป็นแย่ หรือทำไมจากธุรกิจที่แย่กลายมาเป็นดี โดยเฉพาะเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภค ก็เหมือนกับ Apple ผมไม่เข้าใจไอโฟน แต่ผมรู้ว่าคนจำนวนมากชอบมันและขาดมันไม่ได้ "
เราไม่รู้อนาคต แต่เรารู้ธุรกิจบางอย่างเป็นอย่างดี เรารู้ว่าราคาที่ใช่อยู่ตรงไหน เราสามารถฉลาดขึ้นด้วยการนั่งอยู่ในออฟฟิศจากการอ่านไปเรื่อยๆ
10. ทำไมบัฟเฟตต์ ถึงขายหุ้น TSMC หลังจากถือไม่ถึงเดือน
บัฟเฟตต์ บอกว่า มันเป็นเรื่องของภูมิศาสตร์มากกว่า ทำให้เขารู้สึกกังวล
พูดง่ายๆ คือ บัฟเฟตต์ไม่สบายใจความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวัน
11. การลงทุนในญี่ปุ่น 5 บริษัท เป็นการลงทุนที่ดี
บัฟเฟตต์ บอกว่า ญี่ปุ่น 5 บริษัท ที่ Berkshire ลงทุนไป มีความใหญ่ มั่นคง และได้ผลตอบแทน Yield 14% ต่อปี และที่สำคัญคือพวกเราเข้าใจในธุรกิจเหล่านั้น
มังเกอร์ บอกว่า เราปฏิบัติต่อเงินทุกๆเหรียญเหมือนกับที่ทำกับเงินหมื่นล้านเหรียญ คือหาการลงทุนที่คุ้มค่าและสร้างผลตอบแทนที่ดี
ที่สำคัญ Berkshire อยากจะอยู่กับ 5 บริษัทต่อไปเรื่อยๆ
12. การลงทุนดีๆไม่ได้หากันง่ายๆ
มังเกอร์ บอกว่า การลงทุนทุกวันนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ
ทำให้คนหลายๆคนมองว่า เราก็กระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายๆตัวเลยซิ ! (diversification)
แต่มังเกอร์มองว่า มันจะเป็น deworsification มากกว่า คือ กระจายความห่วยลงไปในหลายๆบริษัท ยิ่งซื้อมากก็ยิ่งแย่ (อะไรประมาณนั้น)
สรุปคือ มังเกอร์ แนะนำว่า ถ้าเจอธุรกิจที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผล ต้องซื้อไว้ให้มากๆ และถือไว้ให้นานๆ