#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน
#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

ภาพรวมผลประกอบการกลุ่มแบงก์ "ไม่ได้ดี" อย่างที่คิด

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
781 views

ผลประกอบการประจำไตรมาส 4 ปี 2565 กลุ่มแบงก์ประกาศออกมาเรียบร้อยแล้ว
คำถามคือ ภาพรวมเป็นอย่างไร ? 
ต้องยอมรับว่า ไม่น่าประทับใจ และต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้เกือบทุกธนาคาร ....

 

แต่ถ้าให้ลงลึก จะพบว่า ...
ธนาคารที่ผลประกอบการเติบโต คือ KTB TTB BBL BAY และ TISCO
ธนาคารที่ผลประกอบการลดลง คือ KBANK KKP และ SCB 
ซึ่งทั้งสองกลุ่ม เป็นการเติบโตแบบเทียบปีต่อปี (YOY)
แต่ถ้าเติบโตเทียบแบบไตรมาสต่อไตรมาส จะพบว่ามีแค่ 2 แบงก์เท่านั้นที่ผลประกอบการโต นั้นคือ TTB และ TISCO

 

ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มแบงก์ หรือมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ผลประกอบการออกมาไม่ดี
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส ได้วิเคราะห์ 3 เหตุผลหลักที่กดดันผลประกอบการ คือ
1. ต้นทุน Credit Cost ปรับตัวขึ้น 
ทั้ง NPL ของธนาคารมีทิศทางสูงขึ้น การตั้งสำรองสูงขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก 
และยังมีเรื่องของการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับ Balance Sheet ลดความเสี่ยงต่องบดุล

 

2. การวัดมูลค่าสินทรัพย์ผ่านงบกำไรขาดทุน (FVTPL)
หลักๆเป็นผลมาจากการปรับมูลค่ายุติธรรมจากพอร์ตลงทุนของแต่ละแบงก์ ซึ่งมีความผันผวนสูงจากการลงทุนในตราสารทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SCB ที่มีการลงทุนใน Start up ทำให้ตรงส่วนนี้ -507 ล้านบาท ใน SCB10X

 

3. OPEX ตามฤดูกาล
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในการปรับโครงสร้างองค์กร กดดันผลประกอบการ

 

ตัวอย่างผลประกอบการ 3 แบงก์ใหญ่ แบบสรุปสั้นๆ 
KBANK 4Q65 กำไรสุทธิ 3.19 พันล้านบาท (-70% QoQ , -68% YoY) ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดอย่างมากโดยมีสาเหตุหลักจากการตั้งสำรองสูง
ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือทางการเงินด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (FVTPL) จำนวนมาก ซึ่งถ้าตัดกำไรจาก FVTPL ออก KBANK จะมีรายงาน "ขาดทุน" ประมาณ 549 ล้านบาท

BBL กำไรสุทธิ 7.57 พันล้านบาท (-1% QoQ , +20% YoY) ดูดี ไม่ได้แย่ สะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น เพียงแต่ตลาดคาดหวังมากกว่านั้น ซึ่งตลาดคาดหวังกำไรที่ 8.4 พันล้านบาท
สาเหตุสำคัญคือขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (FVTPL) จำนวน 1.96 พันล้านบาท

SCB กำไรสุทธิอยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท (-31% QoQ , -9% YoY) ต่ำกว่าที่ตลาดคาด จากแรงกดดัน OPEX ที่เป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการปรับโครงสร้างองค์กรราวๆ 2 พันล้านบาท และการปรับมูลค่ายุติธรรม (FVTLP) ในการลงทุน Start Up ใน SCB10X จากภาวะตลาดและเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ตลาดมองว่า SCB กลายเป็นหุ้น High Righ, High Return ที่มีความเสี่ยง ถ้าบริษัทที่ SCB ลงทุนสามารถเป็น Unicorn หรือ IPO เข้าตลาดหุ้นได้จะมีภาพเป็นบวกอย่างมาก และเป็นการ Unlock Valuation ในอนาคต

 

 

อ่านมาถึงตรงนี้ เราอาจจะสรุปว่าถ้ากลุ่มแบงก์ไม่ดี เศรษฐกิจไทยต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
ก็อาจจะเป็นการ "ด่วนสรุปเกินไป" ... 
เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ในปี 2566 จะเป็นปีทองของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังที่นักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก เศรษฐกิจไทยมีภาพรวมที่ดี จะทำให้แรงกดดันเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ลดน้อยลง ผลประกอบการกลุ่มแบงก์อาจจะไม่ได้แย่เหมือนอย่างช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 ก็เป็นไปได้ครับ

 

อีกทั้ง ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจโลกเรื่อง Recession ก็ดูผ่อนคลายลงจากตัวเลขต่างๆของทางอเมริกาที่ดีขึ้น แรงกดดันเรื่องดอกเบี้ยน่าจะลดน้อยลง 
ถือว่าปีนี้ มีภาพที่เป็นบวกที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ครับ

------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส [1]

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส [2]

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ [1]

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ [2]


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง