เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรง
โดย ปิด -28.94 จุด หรือ -2.13%
สาเหตุหลักน่าจะมาจากเรื่องความกังวลในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมา
โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ -3.76 พันล้านบาท ทำให้มียอดขายสะสมตั้งแต่ต้นปีมาประมาณ 7 หมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว
ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทย ต่ำกว่า 1350 จุด มาอยู่ที่ 1332 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน
![](https://cdn.stock2morrow.com/images/X6X9W/1713756830375.png)
ภาพของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
https://www.tradingview.com/symbols/SET-SET/
คำถาม คือ การที่ดัชนีต่ำกว่า 1350 จุด ลงมานี้ ถ้าเราวิเคราะห์ภาพรวมของปัจจัยพื้นฐาน มีความน่ากับวลแค่ไหน
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่าความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ มีผลกระทบต่อหุ้นไทยไม่มาก จาก 3 ประเด็นหลักด้วยกัน คือ
1. บริษัทในอิสราเอล มีรายได้จากต่างประเทศไม่มาก
โดยปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และมีเพียง 0.26% เท่านั้น ที่เป็นรายได้จากต่างประเทศ
2. นักลงทุนชาวอิสราเอล และอิหร่านถือครองหุ้นไทยไม่มาก รวมกันประมาณ 141 ล้านบาท แบ่งเป็น
นักลงทุนชาวอิสราเอล 117 ล้านบาท
และนักลงทุนชาวอิหร่าน ถือหุ้นไทย 24 ล้านบาท
3. ในคืนวันศุกร์ ตลาดต่างประเทศบวกสวนกลับได้อย่างรุนแรง
โดยถ้ามองจาก Dow Jones Future จะพบว่าดีดกลับขึ้นมา 900 จุด จากจุดต่ำสุดเมื่อวันศูกร์ที่ผ่านมา
ฝ่ายวิจัย มองว่า SET Index มี P/E อยู่ที่ 14.5 เท่า
ในขณะที่ภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนมีกำไรที่ฟื้นตัว แต่สวนทางกับภาพดัชนีที่ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง
ทำให้หุ้นไทยเกิดปรากฏการณ์หุ้น Deep Value
พูดง่ายๆ คือ มีหุ้นที่มี Margin of Safety ที่สูงตามแบบฉบับของ เบนจามิน เกรเฮม
คือราคาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากๆ
ที่นักลงทุนน่าจะเก็บไปศึกษาต่อ เพื่อเป็นโอกาสทางการลงทุน
- เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ทำไมถึงร่วงแรงหลังวันหยุดยาว
- สรุป DR ทั้งหมดในตลาดหุ้นไทย
- พัฒนาการ จาก ย่ำฐาน ไป ฮึกเหิม
คำถาม คือ หุ้น Deep Value หาได้อย่างไร ?
ข้อสังเกตที่พอจะบอกได้ ประกอบไปด้วย 3 ข้อ คือ
1. เป็นหุ้นที่น่าเบื่อ ไม่มีคนพูดถึง ราคาหุ้นนิ่งๆ ไม่มีประเด็นอะไรหวือหวาให้คนเข้ามาเก็งกำไร
2. เป็นหุ้นที่ไม่โต หรืออาจจะโตตามสภาวะเศรษฐกิจได้บ้าง
อยู่ในอุตสาหกรรมธรรมดาที่ไม่ได้เติบโต นักลงทุนที่เข้าไปลงทุนเพื่อหวังว่าบริษัทจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เปลี่ยนธุรกิจ ลงทุนในสตาร์ทอัพหรือมีการนำบริษัทลูกเข้า IPO เพื่อปลดล็อคมูลค่าบางอย่าง
3. เป็นหุ้นประเภท Net - Net
กล่าวคือ การนำสินทรัพย์หมุนเวียน มาหักลบด้วยหนี้สินรวม จะได้ตัวเลขค่าหนึ่งที่เรียกว่า "Net - Net"
คือราคาหุ้นถ้าต่ำกว่า Net - Net จะถือเป็นหุ้นที่มี Margin of Safety สูงๆ
ประเด็นคือการมองหาหุ้น Deep Value มักจะเป็นการลงทุนที่น่าเบื่อ บางครั้งอาจจะต้องถือหุ้นยาวนานมากเกินไปเพื่อจะรอคอยให้กลุ่มคนกลับมาเห็นคุณค่าในตัวบริษัท แล้วยอมซื้อในราคาที่แพงขึ้น
สุดท้าย บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส ยังแนะนำข้อสังเกตอีกด้วยว่า
ดัชนีหุ้นไทยที่ 1332 จุด ต่ำกว่า -1SD ในรอบ 10 ปี
และยังสูงกว่าวันที่ตลาดหุ้นไทยเกิด Circuit Breaker ที่ 969 จุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ปี 2563 อยู่ประมาณ 37.5%
ในขณะที่แนวโน้มบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มฟื้นตัว
พูดง่ายๆ คือ ณ เวลานี้ ควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งความกล้าม มากกว่าที่จะเป็นช่วงเวลาของความกลัว
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส