เมื่อไม่นานมานี้นักลงทุนจะได้ยินมาว่า SABUY หรือ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)
มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร จากคุณชูเกียรติ รุจนพรพจี มาเป็น คุณวิรัช มรกตกาล
เราก็แทบจะไม่ได้ยินอีกเลยว่า SABUY จะมีกลยุทธ์ต่อไปอย่างไร เพื่อสร้างการเติบโตให้กับองค์กรต่อไป
แต่ล่าสุด มีการชูวิสัยทัศน์ของ SABUY ออกมาแล้ว
พร้อมทั้งแสดงความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่า SABUY ยังมีแผนงานที่ชัดเจน ตั้งเป้าเติบโต 20% สู่รายได้ 1.2 หมื่นล้าน
โดยทาง SABUY จะยังให้ความสำคัญกับธุรกิจเดิม และมีการวางแผนเจรจาพันธมิตรร่วมธุรกิจในเครือบุกตลาดไทย และต่างประเทศ
ในปี 2567 SABUY มุ่งเน้นธุรกิจหลัก 5 ตัวคือ
- SABUY
- SBNEXT
- PTECH
- SABUY SPEED กลุ่มธุรกิจ Drop-Off
- Asphere
โดยมุ่งเน้นเรื่องการหารายได้อย่างเข้มงวด โดยกวดขันเรื่องยอดขายต่อคน ต่อทีม ขยายตลาดไปยัง segment อื่น ขยายผลิตภัณฑ์ และการขยาย cross sell ภายในกลุ่มบริษัท เพื่อครอบคลุมความต้องการ และการตอบสนองของผู้บริโภคได้รอบด้านมากขึ้นนั้น จะส่งผลให้กระแสรายได้ของบริษัทฯ (Revenue Momentum) ให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
SABUY วางแผน การดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ไม่น้อยกว่า 20% หรือแตะที่ระดับ 12,000 ล้านบาท จากปี 2566 ที่ทำได้ 9,629.82 ล้านบาท โดยแรงขับเคลื่อนธุรกิจหลักๆ ในปีนี้ มาจากกลุ่มธุรกิจ SBNEXT และ SABUY SPEED
ซึ่งจากการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ คุณชูเกียรติ รุจนพรพจี ผู้ก่อตั้ง SABUY
ทำให้บริษัทมีการให้บริการที่มีความหลากหลาย สามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทาง
ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรใหม่ ให้มีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น
ทำให้มองว่าในปี 2567 นี้ ผลการดำเนินงานจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
และคาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาของการกลับมามีกำไรที่ดีขึ้นในไตรมาส 2/2567 นี้ และมีการเพิ่มขึ้นของกำไรอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป
จากปี 2566 ที่บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ราว 190 ล้านบาท
โดยในปีนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการต้นทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
- รู้จัก SABUY จากตู้เติมเงิน สู่ก้าวใหม่ที่มากกว่า FinTech
- SABUYVERSE กลยุทธ์โต 100% ของ SABUY
- รู้จัก BKGI ธุรกิจไบโอเทคโนโลยี ว่าที่ Sunrise Industry ของตลาดหุ้นไทย
ในส่วนกลุ่มธุรกิจ SBNEXT บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท จากปี 2566 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,609.6 ล้านบาท
จุดเด่นคือ มีทีมขายที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามบ้านได้
มีแผนจะขยายช็อปผ่อนสบายในช่วงครึ่งแรกปีนี้ให้เพิ่มเป็น 10 สาขา จากสิ้นปีก่อนที่มีแล้ว 6 สาขา
รวมถึงมีแผนขยายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้มีความหลากหลาย ทั้งแบรนด์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ
เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด และให้ความสำคัญในการบริหาารจัดการพอร์ตผ่อนสบายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ด้านธุรกิจ SABUY SPEED บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท
จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,123.8 ล้านบาท
ในปี 2567 นี้ บริษัทยังคงเดินหน้าในการเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้บริการให้กว้างมากและลึกขึ้น
จากปัจจุบันที่มีช็อปแล้วกว่า 22,000 แห่งทั่วประเทศ หรือทุกอำเภอ รวมถึงเพิ่มการให้บริการอื่นๆ มากขึ้น
นอกเหนือจากส่วนเสริมอย่างอีคอมเมิร์ซ ที่มีของดีๆ ช่วยขายได้ มี SABUY Counter มี แบงกิ้งทรานเซ็กชั่น และการรับชำระเงิน
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Food Court CRM และ POS นั้น ปัจจุบันบริษัทให้ความสนใจเข้าไปทำระบบชำระเงินในส่วนศูนย์อาหารภายในโรงงานขนาดใหญ่ หรือที่มีพนักงานมากกว่า 500 คน ที่ผ่านมาได้มีเข้าไปให้บริการแล้ว 3-4 โรงงาน
โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 300 โรงงาน โดยจะมุ่งเน้นในภาคตะวันออกที่มีนิคมอุตสาหกรรมและมีโรงงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่จำนวนมาก
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มฐานลูกค้าเดิมที่มีการใช้บริการด้านพิมพ์บัตร (บัตรพนักงาน) อยู่แล้ว เป็นการเข้าไปต่อยอดธุรกิจที่มีในมือเพิ่มเติม
ส่วนการลงทุนใหม่ๆ ในปี 2567 นั้น อาจต้องชะลอตัวไปก่อน
เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดระเบียบธุรกิจที่มีในมือให้สามารถสร้างผลผลิตในระดับที่ดีและมีการเติบโตอย่างมีศักยภาพได้
อ่านมาถึงตรงนี้ เราอาจจะสงสัยว่า แล้วในปี 2568 จะเป็นอย่างไรต่อไป
รวมถึงแผนการลงทุนต่างประเทศ ในธุรกิจของ SABUY จะเป็นอย่างไรต่อไป ?
คำตอบคือ ในปี 2568 บริษัทอาจมีแผนกลับมามีการลงทุนอีกครั้ง ตามเป้าหมายการขยายตลาดในระดับภูมิภาค
ปัจจุบันบริษัทให้ความสนใจและอยู่ระหว่างการศึกษาทั้งในประเทศเมียนมา และสปป.ลาว
แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้เห็นความชัดเจนเมื่อไหร่ และจะเข้าไปทำในส่วนไหน เพราะแต่ละประเทศมีความต้องการแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน
สุดท้าย คุณวิรัช ยังสรุปปิดท้ายอีกด้วยว่า
ปีนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุน หลังจากที่ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และในไตรมาส 3 ปี 67 เป็นต้นไป คาดจะสามารถเริ่มเห็นสัญญาณพลิกกลับมาเป็นกำไรได้
ขณะที่ แผนธุรกิจช่วง 3-5 ปี จะลดการพึ่งพิงคน แต่ทำให้คนมีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือ เรื่องแพลตฟอร์มทั้งหมด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับตู้เติมเงินที่เป็นช่องทางหลัก ซึ่งในช่วงหลังจากนี้สิ่งที่ SABUY จะต้องโฟกัสให้มาก ๆ คือ ต้องการนำ INFORMATION PROCESS โดยพนักงานต้องมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยในส่วน Automation PROCESS การลดกระบวนการให้มีความแม่นยำมากขึ้น มีการแก้ไขรายการให้น้อย ใช้คนเท่าเดิมแต่มีวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งถ้าหากทำได้ช่วง 3-5 ปี จะเป็นแพลตฟอร์มด้านบริการมีความแข็งแกร่งอยู่
ก็ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายของ SABUY ที่นักลงทุนยังต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปครับ ...