เมื่อวานนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การที่ตลาดหลักทรัพย์ออกมายกระดับความเชื่อมั่น
โดยการควบคุมเรื่องของการ Short selling และ Program Trading
ซึ่งพอจะสรุปออกมาเป็นใจความสำคัญ 3 ข้อด้วยกัน คือ
1. เรื่องของ Short selling
โดยมีการปรับคุณสมบัติของการขาย Short ได้ เพิ่มระดับมูลค่าตลาดเป็น 7.5 พันล้านบาท จากเดิม 5 พันล้านบาท
และเพิ่มเกณฑ์สภาพคล่อง โดยหุ้นที่จะ Short ได้ ต้องมีสัดส่วนปริมาณซื้อขายหุ้นต่อเดือน / ปริมาณหุ้นจดทะเบียน (Monthly Turnover) > 2%
2. เรื่องอขง Program Trading
สำหรับการขาย Short หุ้นที่ราคาปรับลงมากกว่า 10% ของวันก่อนหน้า
กำหนดให้ราคาขาย Shot ต้องสูงกว่าราคาล่าสุด หรือที่เรียกว่า Uptick Rule
และกำหนดเพดานสูงสุดในการขาย Short รายหลักทรัพย์ในแต่ละวัน
พร้อมกับการเปิดเผยข้อมูลรายวันของยอดสะสมปริมาณขาย Short ที่ยังไม่ได้ซื้อคืน
3. การเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลให้กับสาธารณชน
เช่น การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ ตั้งแต่ 0.5% ให้ใช้กับบริษัทจดทะเบียน ทรัสต์เพื่อการลงทุน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
การส่งข้อมูลผู้ลงทุนที่มีพฤติกรรมการส่งคำสั่งซื้อขายไม่เหมาะสมให้แก่บริษัทสมาชิก
เปิดเผยรายชื่อผู้ถือ NVDR ตั้งแต่ 0.5% แต่ไม่น้อยกว่า 10 ราย
รวมถึงการรับฟัง Hearing จากผู้เกี่ยวข้อง
- MGI หุ้นที่นักลงทุนยอมให้มูลค่าสูงกว่า เจ้าของคอนเทนต์อย่าง WORK และ BEC
- ทำไมในปี 2567 นักลงทุนถึงไม่ควรมองข้ามหุ้นจีนและหุ้นไทย
- การลดดอกเบี้ยอาจไม่ช่วยอะไร เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง
เรียกได้ว่า ตลาดหลักทรัพย์พยายามเรียกความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย วางแผนแก้ปัญหา
โดยเฉพาะเรื่องของการ Short selling และ Program Trading ที่กำลังเป็นปัญหากดดันหุ้นไทยอยู่ตอนนี้
ในมุมมองบทวิเคราะห์ มองในมุมเชิงบวกต่อประเด็นนี้ เช่น ...
บล.ทิสโก้ มองการยกระดับมาตรการควบคุม Short selling และ Program Trading ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศออกมาในช่วงเช้าวันนี้ (22 ก.พ.) จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดในระยะยาว แม้อาจส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายในระยะสั้นปรับตัวลดลงก็ตาม
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเกณฑ์ Short selling ใหม่ อาจส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นที่เคยถูกทำ Short Selling ตั้งแต่ต้นปีนี้ไม่สามารถทำได้ เช่น LPN, WORK, DUSIT, HTC, S, HENG และ NOBLE เป็นต้น (คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มี % Short Sale Value > 3% ขึ้นไป)
บล.กรุงศรี พัฒนสิน มองการยกระดับมาตรการควบคุม Short selling จะยกความเชื่อมั่นและป้องกัน Naked Short ได้ ส่วนมาตรการควบคุมต่อ Program Trading จะลดความผันผวนระยะสั้นต่ำลง
ซึ่ง บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินจะช่วยให้นักลงทุนตามภาพพื้นฐานระยะกลาง-ยาวของธุรกิจได้ดีขึ้น ไม่เหวี่ยงไปกับความผันผวนระยะสั้นมากเกินไป ส่วนการเปิดเผยข้อมูลความโปร่งใสจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุน มองมาตรการดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งช่วยให้วันนี้ SET ก้าวข้ามผ่าน 1,400 จุด และฟื้นตัวทดสอบบริเวณ 1,440 จุด ภายใน 1 เดือน
ถือว่าเป็นประเด็นเชิงบวกที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
มีข้อมูลเยอะขึ้น ช่วยให้เราตัดสินใจการลงทุนได้ดีขึ้น นั่นเองครับ