#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง อาจกำลังกลายเป็น Lost Decades

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
732 views

เวลาเราพูดถึงเรื่องการลงทุนในประเทศจีน โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่ต้องลงทุนผ่านตลาดฮ่องกง
เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ จะต้อง "ส่ายหน้าหนี" อย่างแน่นอน
ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้าเราไปดูผลงานดัชนี Hang Seng Index ให้ผลตอบแทน -19% ในรอบ 12 เดือน
หรือถ้าเราย้อนไปดูดัชนี Shanghai Composite Index ให้ผลตอบแทน -6% ในรอบ 12 เดือน
หรือดัชนีรวมหุ้นขนาดใหญ่ของจีน 300 บริษัท อย่าง CSI300 ให้ผลตอบแทน -13% ในรอบ 12 เดือน
เรียกได้ว่า ดูไม่ดีเอาซะเลย และบางช่วงเวลาอาจจะแย่กว่าตลาดหุ้นไทย ซะด้วยซ้ำ

คำถาม คือ เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง
ถ้าให้สรุปแบบสั้นๆ คือ จีนกำลังเจอกับปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 
นำมาสู่ความกังวลของนักลงทุนต่อเศรษฐจีนว่าอาจจะคล้ายกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงปี 1990 - 2000 ที่ญี่ปุ่นกลายมาเป็น "ทศวรรษที่หายไป" หรือ Lost Decades ก็เป็นไปได้
โดยเฉพาะปัญหาเรื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์

 

เมื่อต้นปี 2566 นักลงทุนอาจจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับวิกฤต Evergrande บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีน ขอยื่นล้มละลาย
ต่อมา ก็มีบริษัทที่มีจำนวนโครงการมากกว่า Evergrande ถึง 4 เท่า และใหญ่เป็นเบอร์ 6 ของจีน อย่างบริษัท Country Garden ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ จีน ส่อผิดนัดชำระ รวมกว่า 23 ล้านดอลล์  
พูดโดยสรุป คือ อสังหาริมทรัพย์ของจีนได้กลายมาเป็น "ฟองสบู่" ไปแล้วเรียบร้อย

สื่อตะวันตกหลายแห่งมีความเห็นตรงกันว่า "ยากแก่การแก้ไข" และอาจจะต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คิด
ทำให้ผู้จัดการกองทุนมองว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงได้หมดเสน่ห์แล้วเป็นที่เรียบร้อย
กองทุนบางแห่งก็เทขาย หรือลดสัดส่วนการลงทุนลง ทำให้ดัชนีหุ้นทั้ง 2 ประเทศ Underperform ตลาดมาอย่างยาวนาน
พูดง่ายๆ คือ ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง อาจกำลังกลายเป็น Lost Decade อย่างที่ญี่ปุ่นเคยเป็นมาก่อนหน้านี้

 


อย่างไรก็ตาม การจะบอกว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง "ไม่น่าสนใจ" อีกต่อไปแล้ว
ก็อาจจะเป็นการด่วนสรุปเกินไป 
สาเหตุเป็นเพราะว่า นโยบายทางการเงินของจีนมีความยืดหยุ่นสูงมาก 
และสังคมที่จะเข้าสู่ผู้สูงอายุ แต่ก็จะทดแทนด้วยภาคเทคโนโลยีที่กำลังโตวันโตคืน ...

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เคจีไอ วิเคราะห์ว่า จีนเผชิญกับความท้าทาย แต่คงไม่เข้าสู่ภาวะ Lost Decades จากเหตุผลหลักๆ 3 ข้อด้วยกัน คือ

 

1. ขนาดของฟองสบู่ที่แตกต่างกัน
ในประเทศญี่ปุ่น ดัชนีราคาที่พักอาศัย (Real REsidential Property) ในญี่ปุ่นโตถึง 52.8% มากกว่า GDP ต่อหุ้นที่แท้จริง
สอดคล้องกับตลาดหุ้นที่ซื้อขายในระดับ P/E Ratio สูงถึง +2S.D (ประมาณ 80 เท่า)
แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นอาจจะต้องเจอกับการปรับฐานที่นานกว่า 20 ปี 
... กลับมาที่ประเทศจีน ดัชนีราคาที่พักอาศัย เติบโต +14.8% ในช่วง 10 ปีก่อนเกิดวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และยังถือว่าต่ำกว่า GDP ต่อหัยวที่แท้จริง 
ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนซื้อขาย Valuation ค่อนข้างต่ำ ประมาณ -1S.D (ประมาณ 13 เท่า)
ฝ่ายวิจัยจึงมองว่า วิกฤตของจีน จะไม่แรงเท่าของญี่ปุ่น

 

2. ความยืดหยุ่นของนโยบายการเงิน การคลัง 
ฝ่ายวิจัยเคจีไอ มองว่า จีนมีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
และอาจจะมีทางเลือกในการทำ QE หรืออัดฉีดสภาพคล่องได้หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
... สอดคล้องกับนโยบายทางการคลังที่จีนไม่ได้มีหนี้สินสูง ยังสามารถก่อหนี้สินเพิ่มได้ 
อีกทั้งการเติบโต GDP ที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ระยะยาว 10 ปี 
จึงมีความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายการคลังที่มากกว่า

 

3. สังคมผู้สูงอายุ จะถูกทดแทนด้วยภาคเทคโนโลยี 
แน่นอนว่าประเทศจีนกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่สภาวะชะลอตัวตามไปด้วย
กลับกัน อาจถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจจากตัวขับเคลื่อนไหม หรือ New Growth Engine

ฝ่ายวิจัยเคจีไอ วิเคราะห์ว่าตามทฤษฏีแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ การเติบโตของจำนวนแรงงาน และศักยภาพของแรงงาน  ซึ่งจีนและญี่ปุ่นมีความแตกต่างกัน กล่าวคึอ

จำนวนแรงงาน : ญี่ปุ่นแก้ปัญหาด้วยการ ปรับขึ้นอายุเกษียณเพื่อให้อยู่ในแรงงานได้ยาวนานขึ้น และย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น
ซึ่งแตกต่างจากจีนที่มีทางเลือกมากกว่า และเน้นไปที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการ One Belt One Road ที่ครอบคลุมประชากรมากถึง 60% ของประชากรโลก 
พูดง่ายๆ คือ การลงทุนดังกล่าว จะทำให้จีนมีแรงงานจากประเทศอื่นที่เพิ่มขึ้น จากการหายไปของประเทศตนเอง

ศักยภาพแรงงาน : ญี่ปุ่นเคยเป็นผู้นำเทคโนโลยีเมื่อช่วงปี 1990 แต่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆหายไป 
ในขณะที่จีน เร่งเพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านซอฟแวร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน 5G หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์ที่เริ่มทำงานแทนคนมากขึ้น


โดยสรุปคือ ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ
และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของจีน กำลังสร้างความความกังวลว่าจีนอาจเหมือนประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี Lost Decades
แต่การจะบอกว่า แย่แน่ๆแล้ว ก็อาจจะด่วนสรุปเกินไป
เพราะเราต้องไม่ลืมว่า การดูแลอย่างเข้มข้นของภาครัฐที่พร้อมอัดฉีดสภาพคล่อง
และการเปลี่ยนกระแสในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นการเติบโตโดยเปลี่ยนผ่านมาเป็น ภาค "เทคโนโลยี" คือก้าวที่ถูกต้อง ที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตต่อไป

จีนและฮ่องกง อาจจะเป็น Lost Decades แต่อาจจะไม่แย่เท่าญี่ปุ่น 
ถ้ามองในแง่การลงทุนแล้ว ต้องยอมรับว่านี้อาจจะเป็นจุดต่ำสุดของจีนที่นักลงทุนกำลังมอง 
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโอกาสทองในการลงทุนในตลาดหุ้นจีนก็เป็นได้

------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เคจีไอ

ลงทุนแมน

workpointtoday.com

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง