ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ยังคงสร้างความกังวลให้กับตลาดหุ้นไทยอยู่ คือ ปัจจัยเรื่องการเมือง
โดยเฉพาะข้อสรุปเรื่องของ "ประธานสภาผู้แทนราษฏร" ...
ซึ่งทั้ง 2 พรรคที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดยังตกลงกันไม่ได้ แต่ความชัดเจนจะต้องเกิดขึ้นอย่างช้าสุด คือเช้าวันที่ 4 กรกฏาคม ซึ่งเป็นวันโหวตเลือกประธานสภา
ถึงแม้ความชัดเจนจะยังไม่มี แต่ตาม Timeline ก็ถือว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของบทสรุปทางการเมืองและเราจะได้รู้แล้วว่าใครคือนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 15 กรกฏาคม 2566 ที่จะถึงนี้
ดังนั้น ด้วยความไม่แน่นอนก่อนจะถึงวันที่ 15 ตลาดหุ้นไทยน่าจะซึมต่อไปอีกสักพัก
ถ้าเราดูจากผลตอบแทนตลาดหุ้นในภูมิภาค จะพบว่าหุ้นไทยให้ผลตอบแทนย่ำแย่ที่สุด
... ตลาดหุ้นญี่ปุ่น +29%
... ตลาดหุ้นไต้หวัน +20%
... ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ +16%
... ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย -3%
... และตลาดหุ้นไทย -10%
- ใครคือนายกรัฐมนตรีของไทย ? ความกังวลของตลาดหุ้นไทยที่ยังไม่ชัดเจน
- SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยโตต่อ แต่ระวังปัญหาทางการเมือง
- SET Index ปรับตัวลง นโยบายก้าวไกล อาจจะส่งผลลบต่อบริษัทจดทะเบียน
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่าหลังเลือกตั้งมา 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยบอบช้ำมามากระดับหนึ่ง ปรับฐานมามากกว่า 100 จุด
มีจังหวะของการฟื้นกลับบ้าง แต่โดยรวมก็ยังถือว่า Laggard กว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น
ฝ่ายวิจัยมองว่า ประเด็นการเมืองเป็นจุดที่น่ากังวล แต่ก็เข้าใกล้จุดสิ้นสุดเข้าไปทุกที คนไทยทุกคนจะได้เห็นบทสรุปว่าการเมืองไทยจะออกมาเป็นรูปแบบไหน
เมื่อความชัดเจนมีมากขึ้น เชื่อว่า Fund Flow ต่างชาติจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
ดังนั้น ฝ่ายวิจัย จึงแนะนำนักลงทุน Buy On Dip ในหุ้นที่ลงมาลึกเพื่อหวังผลระยะกลางและระยะยาว
จังหวะนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่นักลงทุนอาจจะต้องปรับกลยุทธ์กันบ้างแล้วครับ ..
------------------------------------------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส