เมื่อไม่นานมานี้ มีประเด็นข่าวที่น่าสนใจว่าด้วยเรื่องของ JD CENTRAL ยุติการให้บริการในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
... นี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้าที่จะมี JD Central เคยมีแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้อย่าง อีเลฟเว่น สตรีท (11Street) เข้ามาแข่งขันในเมืองไทยช่วงต้นปี 2016 ก่อนจะปิดให้บริการลงเพียง 2 ปีเท่านั้น
บ่งบอกได้ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซแข่งขันดุเดือด และมีเจ้าตลาดยักษ์ใหญ่อย่าง Lazada และ Shopee เป็นคู่แข่งสำคัญและพร้อมจะทุ่มตลาดได้ทุกเมื่อ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่มีการเลิกกิจการไป แต่มีการยกเลิกในประเทศอินโดนีเซีย (JD.ID) อีกด้วย โดยในประเทศไทยจะปิดตัวในวันที่ 3 มีนาคม และอินโดนีเซียจะปิดตัวในวันที่ 23 มีนาคม ที่จะถึงนี้
โดยทาง JD ไม่ได้บอกสาเหตุว่าทำไมถึงมีการยกเลิกกิจการใน 2 ประเทศนี้
- ผลประกอบการที่แย่ กำลังกดดันตลาดหุ้นไทย
- สรุปประเด็นสั้นๆ หุ้น MASTER ที่นักลงทุนควรติดตาม
- นักลงทุนอาจจะไม่ได้เห็น SCGC เข้าซื้อขายในปี 2566
สื่ออย่าง South China Morning Post แสดงความคิดเห็นว่า สาเหตุที่ JD มีการลดการลงทุนใน 2 ประเทศนี้ลง น่าจะมาจากเหตุผล 3 ประการด้วยกัน คือ
1. อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ มีการเติบโตสูงก็จริง แต่ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด จากทั้งแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ รายกลาง - เล็กผ่าน Social Media เช่น Facebook, IG หรือ TikTok
2. แนวโน้มอีคอมเมิร์ซ ทั้ง 2 ประเทศเริ่มมีการเติบโตชะลอตัวลง
3. ธุรกิจขาดทุนต่อเนื่อง และคาดว่าน่าจะยังขาดทุนต่อไปอีกเรื่อยๆจนกว่าทั้งอุตสาหกรรมจะลดการแข่งขันที่รุนแรงลง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรหรือนานแค่ไหนที่จะทำให้แพลตฟอร์มกลับมาสร้างกำไรได้
เพราะในประเทศไทย มีเพียง LAZADA แห่งเดียวเท่านั้นที่ยังกำไร ในขณะที่ Shopee และ JD Central ต่างก็ยังขาดทุน
นอกจากนี้ สื่อไทยแสดงความคิดเห็นว่าการเข้ามาทำตลาด 5 ปี ของ JD Central ยังห่างชั้่นกับเจ้าตลาดทั้ง 2 อยู่มาก
โดยรายงานว่าช่วงไตรมาส 1 ปี 2022 มีคนเข้าชมเว็บไซด์เพียงแค่ 2 ล้านราย
ในขณะที่ Shopee มีมากถึง 56 ล้านคน
และ Lazada ที่มีผู้เข้าใช้บริการกว่า 36 ล้านราย
ถามว่า JD เลิกกิจการในไทย แล้วยังไงต่อ ?
สื่อทางจีน รายงานว่าทาง JD จะกลับไปเน้นธุรกิจในจีนเป็นหลักโดยเฉพาะเรื่องของ Logistic และน่าจะลดเม็ดเงินการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ
ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนที่มีต่อหุ้น JD เพราะมองว่าการเลิกกิจการที่ไม่สร้างกำไร และหันไปลงทุนในสิ่งที่ตัวเองชำนาญน่าจะมีประโยชน์มากกว่าในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องของ Logistic ในจีนที่ JD มีโครงสร้างพื้นฐานเพียบพร้อมอยู่แล้ว
อนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดว่า ในปี 2023 ภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซแบบ B2C คาดว่าตลาดอาจขยายตัวราว 4-6% ซึ่งต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวเฉลี่ย 26% ต่อปี
------------------------------------------------------------------------------
Reference