ห้องเม่าปีกเหล็ก

จับสัญญาณการลงทุนอุตสาหกรรมกลุ่มไหน?…จะย้ายฐานมาเมืองไทย

โดย dave
เผยแพร่ :
64 views

จับสัญญาณการลงทุนอุตสาหกรรมกลุ่มไหน?…จะย้ายฐานมาเมืองไทย

จากผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจย้ายฐานการผลิต ของผู้ประกอบการจำนวน 200 ตัวอย่าง ซึ่งแบ่งเป็นผู้ประกอบการไทยที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยร้อยละ 70% และผู้ประกอบการต่างชาติที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยร้อยละ 30% ของศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แสดงให้เห็นถึงทิศทางการลงทุนของไทยที่กำลังเปลี่ยนไป


เนื่องจากหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ผู้ประกอบการต่างชาติให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้นในอันดับต้นๆ ในการขยายฐานการผลิต (ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 4 จากเดิมก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ในอันดับที่ 11) ขณะที่ผู้ประกอบการไทยยังคงคำนึงถึงปัจจัยด้านต้นทุนต่ำเป็นปัจจัยหลักในการย้ายฐานการผลิต
โดยอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับอานิสงส์หลังโควิด-19 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน, ผลิตภัณฑ์ด้าน IT, เครื่องใช้สำนักงาน, เครื่องปรับอากาศ, ฮาร์ดดิสก์, ถุงมือยาง, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ และ เครื่องมือทางการแพทย์ เนื่องจากไทยสามารถจัดการกับโควิดได้ดี และแรงงานมีคุณภาพ มีความรู้ มีฝีมือ มีทักษะในการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการต่างชาติมีแผนขยายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยเพิ่ม ประกอบด้วยผู้ประกอบการจีน (ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ด้าน IT) ผู้ประกอบการญี่ปุ่น (เครื่องใช้สำนักงานและเครื่องปรับอากาศ) และ ผู้ประกอบการมาเลเซีย (ฮาร์ดดิสก์)
นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการต่างชาติที่มีแผนย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยหลังโควิด-19 ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ อาทิ ผู้ประกอบการจีน (ผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง) และผู้ประกอบการญี่ปุ่น (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ และเครื่องมือทางการแพทย์)
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบหลังโควิด-19 ได้แก่ สิ่งทอและเครื่องนุ่มห่ม, แปรรูปอาหารทะเล/อาหารทะเลแช่แข็ง, เครื่องจักรกล, อาหารแปรรูป (สแน็ค/ขนมขบเคี้ยว ผักและผลไม้แปรรูป) เนื่องจากผู้ประกอบการไทยมีแผนจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแสวงหาแรงงานที่มีจำนวนมากและค่าแรงต่ำ แหล่งวัตถุดิบใหม่ที่มีคุณภาพใกล้เคียงไทยและราคาถูก และสิทธิประโยชน์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศที่ผู้ประกอบการไทยมีแผนจะขยายฐานการผลิตไปมากที่สุดคือประเทศเมียนมา (สิ่งทอและเครื่องนุ่มห่ม แปรรูปอาหารทะเล/อาหารทะเลแช่แข็ง เครื่องจักรกล) รองมาคือประเทศเวียดนาม (แปรรูปอาหารทะเล/อาหารทะเลแช่แข็ง อาหารแปรรูปประเภทสแน็ค/ขนมขบเคี้ยว)

ชู ‘ฮับ’ ด้านสุขภาพ

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในเมืองไทยว่า ไทยควรจะใช้โอกาสจากโรคระบาดผลักดัน ส่งเสริมสนับสนุนและเน้นอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ เช่น ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางเพื่อสุขภาพ เครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงประชาสัมพันธ์ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสุขภาพและอาหารเพื่อสุขภาพของโลก พัฒนาเทคโนโลยี AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

อุตฯการแพทย์มาแรง

เมื่อมองไปยังภาพรวมการลงทุนช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปี 2563 (มกราคม-มิถุนายน) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ รวมทั้งสิ้น 754 โครงการ เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 703 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนรวมอยู่ที่ 158,890 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17% ซึ่งมีมูลค่ารวม 190,330 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และในช่วงเดียวกันของปี 2562 มีโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลยื่นขอรับการส่งเสริม

น่าสนใจตรงที่ยอดขอรับการส่งเสริมส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวน 371 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 83,140 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีการยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 52 โครงการ เพิ่มขึ้น 174% มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

 

ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงแนวโน้มดังกล่าวว่าเนื่องจากมาตรการเร่งรัดการลงทุนที่บอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการเมื่อ เม.ย.ที่ผ่านมาเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และจากสถิติภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปีนี้เป็นที่น่าสนใจว่ามีนักลงทุนรายใหม่ให้ความสนใจขอรับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ โดยพบว่าเป็นการยื่นขอรับการส่งเสริมในโครงการใหม่ถึง 366 โครงการ คิดเป็น 49% ของจำนวนคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด มีเงินลงทุนรวม 42,520 ล้านบาท คิดเป็น 27% ของเงินลงทุนทั้งหมด
สำหรับยอดขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนของปี 2563 จำแนกตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
  • อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 28,250 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 15,300 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 13,510 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมการแพทย์ 13,070 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมปิโตรและเคมีภัณฑ์ 4,380 ล้านบาท

 

 

 

ฮ่องกงจ่อย้ายฐานจิวเวลรี่

ชณันภัสร์ พิศาลอภิพงศ์
ชณันภัสร์ พิศาลอภิพงศ์
ชณันภัสร์ พิศาลอภิพงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง (สคต.ฮ่องกง) ในฐานะตัวแทนของภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลภาพรวมการค้าระหว่าง 2 ประเทศ กล่าวว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับและการทำธุรกิจจิวเวลรี่ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่นักลงทุนฮ่องกงสนใจเข้ามาลงทุน เหตุเพราะประเทศไทยมีจุดแข็งและข้อได้เปรียบด้านคุณภาพของวัตถุดิบ ทักษะการผลิต รวมถึงความประณีตของช่างฝีมือไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ถัดมาคือเรื่องที่ตั้งด้านยุทธศาสตร์ของประเทศที่ดี ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางกลุ่มประเทศอาเซียน จึงถือเป็นประตูการค้าหลักที่สามารถขยายธุรกิจสู่ประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้สะดวกยิ่งขึ้น
ข้อมูลดังกล่าวได้รับการยืนยันจาก Mr. Ng King Hon Kevin ตัวแทนองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง ที่กล่าวว่า ด้วยความที่ประเทศไทยมีความพร้อมในด้านการทำธุรกิจจิวเวลรี่ทั้งเรื่องวัตถุดิบ แนวคิดการออกแบบ ฝีมือการผลิต รวมทั้งบรรยากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจด้านต่างๆ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่นักธุรกิจจิวเวลรี่ในฮ่องกงจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย
เช่นเดียวกับ Mr. Kenny Au รองประธาน International Jewellery Designer Association (IJDA) กล่าวถึงความในใจในการย้ายฐานการผลิตของฮ่องกง เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมด้านที่ตั้งและองค์ประกอบส่งเสริมธุรกิจจิวเวลรี่ อาทิ มีนิคมอุตสาหกรรม Gemopolis เป็นต้น
จากทิศทางการลงทุนที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าภาพรวมการลงทุนของไทยเปลี่ยนแปลงจากในอดีตที่นักลงทุนมักสนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมแรงงานราคาถูกเป็นหลัก หันไปสู่อุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีมูลค่าสูงรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนั่นเอง

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก

 

 

 

 

 

 

 

 

 


dave