
แม้ประเทศไทยที่ผ่านมาจะเผชิญปัญหาเรื่องการเมืองมาตลอด
แต่ผมก็ยังเชื่อว่าหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่ดีที่สุด
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยไม่ได้เป็นสถานที่ที่ดีแบบนั้น.. ไม่ได้เป็นมาสักระยะแล้ว..
และไม่มีทางเลยที่ประเทศไทยจะกลับไปสู่การเติบโตได้ แค่ให้เติบโตเหมือนในช่วง 10 ปีที่แล้ว ก็ไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้แล้ว
2-3 ปีนี้มานี้ผมผ่านช่วงยากลำบาก และเมื่อได้มาประเมินใหม่แล้ว ในตอนนี้มีตลาดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ และผลตอบแทนแบบ Risk-free (ซึ่งหมายถึงพันธบัตรสหรัฐฯ) ก็อยู่ในอัตราที่เหนือกว่า 4% ก็ยิ่งทำให้ความน่าดึงดูดของตลาดไทยนั้นยิ่งจืดจางลง
หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วผมขอตัดสินใจที่จะเลิกกองทุนและคืนเงินให้แก่ทุกคน
โดยในจดหมายยังระบุถึงความน่าสนใจที่น้อยลง
โดยมีการเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ (ซึ่งตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่) กับ ตลาดหุ้น Nasdaq
โดยจดหมายระบุว่า ตลาดหุ้นเกิดใหม่ตอนนี้มีแต่บริษัทที่ทำธุรกิจเก่า และไม่มีนวัตกรรม ในขณะที่ Nasdaq เป็นแหล่งรวมที่สุดของบริษัทนวัตกรรมในโลกนี้..
และถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ประเทศไทยมีปัญหา คำตอบก็คือ ความขัดแย้งทางการเมืองในไทย ทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันได้
ภาครัฐให้อำนาจแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่จะผูกขาด แต่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่น้อย ซึ่งผลสุดท้ายก็ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันได้
สังเกตได้ง่าย ๆ ว่า บริษัทใน SET50 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย
และบริษัทส่วนใหญ่ในนี้เป็นบริษัทที่ผูกขาด หรือไม่ก็ได้รับสัมปทานจากภาครัฐมา
ผมเคยมีความเชื่อเสมอว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนตัวเองได้ แต่ในตอนนี้ผมถอดใจแล้ว และผมเชื่อว่าเลือกสินทรัพย์ลงทุนโดยแบ่งเป็นภูมิภาคนั้นล้าสมัยแล้ว..
สุดท้ายแล้ว คนที่ลงทุนในประเทศไทยต่อไป ค่าเสียโอกาสจะมากขึ้น และมากขึ้น ...

มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin อยากจะมาแชร์กันครับ ...
แต่เราเคยสงสัยไหมว่า ถ้าเราซื้อ Bitcoin เอาไว้ ผลตอบแทนการลงทุนจะเป็นอย่างไร ?
.
งานวิจัยจาก CFA Institute Research Foundation ระหว่างปี 2014 จนถึงปี 2020
เปิดเผยว่าการเพิ่ม Bitcoin ในพอร์ตลงทุนด้วยสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในพอร์ตโฟลิโอที่สัดส่วนหลักยังเป็นสินค้าการลงทุนดั้งเดิมจะช่วยเพิ่ม Return และ Sharpe ratio ในขณะที่ความผันผวน (Standard deviation) ยังคงต่ำในระยะยาว
โดยหากถือ Bitcoin สัดส่วน 5% ในพอร์ตลงทุนตั้งแต่ปี 2014-2020
จะสามารถสร้างผลตอบแทนสะสมถึงระดับ 100% และผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี
ขณะที่ผลขาดทุนสูงสุดแทบไม่ต่างจากพอร์ตที่ไม่มี Bitcoin
.
สรุปคือการลงทุน Bitcoin ในสัดส่วนที่เหมาะสมช่วยสร้างการเติบโตของพอร์ตลงทุนได้
.
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ผลตอบแทนระหว่าง Bitcoin และ SET Index ตั้งแต่ปี 2020 หรือ 4 ปีที่ผ่านมา Bitcoin
แม้จะมีความผันผวนสูงแต่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 496%
ขณะที่ SET Index ให้ผลตอบแทน -13.91%
เห็นได้ว่าการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงจะสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้อย่างดีในระยะยาว

ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ Bitcoin หรือ CAGR ในรอบ 7 ปีอยู่ที่ 44% ขณะที่สินทรัพย์อื่นๆ อย่างเช่นทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาฯ ตลาดหุ้น รวมกันอยู่ที่ 5.7% ขณะที่เมื่อเทียบรายปี ผลตอบแทนของ Bitcoin ก็สามารถชนะทุกสินทรัพย์ได้ทุกปีแม้ว่าจะอยู่ในภาวะขาลง นี้คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องเริ่มศึกษาการลงทุนตั้งแต่วันนี้

มูลค่า Bitcoin เมื่อเทียบกับทองคำเพิ่มขึ้น 20 เท่าในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2010 มูลค่าของ Bitcoin เมื่อเทียบกับทองคำ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา มูลค่าของ Bitcoin เมื่อเทียบกับทองคำ เพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า โดยในเดือนมกราคม 2024 Bitcoin 1 หน่วย สามารถซื้อทองคำได้ประมาณ 20 ออนซ์ (Troy Ounce) ขณะที่ในเดือนเมษายน 2017 สามารถซื้อได้เพียง 1 ออนซ์เท่านั้น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องเริ่มศึกษาการลงทุนตั้งแต่วันนี้

ราคาทองคำในอดีตหลังเกิด Gold ETF ราคาปรับตัวขึ้น 400% ภายในระยะเวลา 7 ปีและเป็นขาขึ้นยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ Bitcoin ถ้าหากคำนวนผลตอบแทน 400% เหมือนกัน จะมีราคาเป้าหมายที่ 240,000 ดอลลาร์ !!
สำหรับใครที่สนใจเริ่มศึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดแห่งยุค
ผมแนะนำคอร์สสำหรับมือใหม่ ทำกำไรในคริปโตด้วยเทคนิคจากประสบการณ์นับ 10 ปีของผมเอง
เรียนสดผ่าน zoom
2 มีนาคมนี้
มาพร้อมกับ…
+ กลุ่ม Live อัปเดตทุกสัปดาห์ ตลอดชีพ!
+ กลุ่มไลน์ลับ อัปเดต realtime
ราคาพิเศษภายใน 26 ก.พ. นี้เท่านั้น
>> https://stock2morrow.com/course/84?ref_code=2118416520278