ห้องเม่าปีกเหล็ก

กองทุน “Short Sell” หุ้นไทย ไม่กลัว “Short Squeeze” หลังรายย่อยทำอะไรไม่ได้ เหตุมีกฎป้องกัน

โดย dave
เผยแพร่ :
66 views

กองทุน “Short Sell” หุ้นไทย ไม่กลัว “Short Squeeze” หลังรายย่อยทำอะไรไม่ได้ เหตุมีกฎป้องกัน

กระแสรายย่อยตอบโต้กลับกองทุนประเภทเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) ยังคงมีต่อเนื่อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้กองทุนได้ทำธุรกรรม Short Sell หุ้น "Game Stop" ในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งทำให้ราคาตกต่ำเรี่ยดินสุดๆ จากนั้นนักลงทุนรายย่อยได้รวมตัวกันเข้ารุมซื้อด้วยวิธีการที่เรียกว่า Short Squeeze หรือไล่ซื้อหุ้นที่ถูก Short Sales มากๆ เพื่อแสดงการตอบโต้ต่อกองทุน จึงทำให้กองทุนประเภทเฮดจ์ฟันด์ หน้าหงายขาดทุนกันไปตามๆกัน


แต่อย่างไรก็ตามหากมองย้อนมายังตลาดหุ้นไทยมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดเหตุการณ์หุ้นที่โดยกองทุนธุรกรรม Short Sell แบบหนักๆ และจะเกิดการ "Short Squeeze" จากนักลงทุนรายย่อยในเมืองไทย ซึ่งทาง Wealthy thai ได้หาคำตอบให้กับนักลงทุนไปแล้วในบทความนี้ "https://www.wealthythai.com/web/contents/WT210200004" สามารถกลับไปดูข้อมูลรายละเอียดย้อนหลังกันได้ 


ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมากองทุนยังคงทำธุรกรรม Short Sales หุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันวันที่ 3 ..64 นักลงทุนประเภทกองทุน ทำธุรกรรม Short Sell หุ้นไทย 5 อันดับแรก คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 19,000 ล้านบาท 


สำหรับ 5 หุ้นอันดับแรกที่ถูกกองทุน Short Sell มากที่สุดได้แก่ 1.PTT โดยมีมูลค่าการขายชอร์ต จำนวน  5,088,591,100 บาท โดยปริมาณหุ้นที่ขายชอร์ตอยู่ที่ 124,139,500 หุ้น คิดเป็น 5.83% เมื่อเทียบกับการซื้อขายแบบปกติ


2.KBANK-R โดยมีมูลค่าการขายชอร์ต จำนวน 4,380,891,900 บาท ซึ่งปริมาณหุ้นที่ขายชอร์ตอยู่ที่ 35,128,300 หุ้น คิดเป็น 5.75% เมื่อเทียบกับการซื้อขายแบบปกติ อันดับที่ 3. GPSC-R มีมูลค่าการขายชอร์ต จำนวน 3,551,563,425 บาท ซึ่งปริมาณหุ้นที่ขายชอร์ตอยู่ที่ 43,649,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5% หากเทียบกับการซื้อขายแบบปกติ


4 KBANK มีมูลค่าการขายชอร์ต จำนวน 3,445,922,500 บาท มีปริมาณหุ้นที่ขายชอร์ตอยู่ที่ 28,039,800 หุ้น คิดเป็น 4.59%  เมื่อเทียบกับการซื้อขายแบบปกติ และอันดับที่ 5. EA-R มีมูลค่า การขายชอร์ต จำนวน 3,424,535,350 บาท ซึ่งปริมาณหุ้นที่ขายชอร์ตอยู่ที่ 53,685,700 หุ้น คิดเป็น 3.90%  หากเทียบกับการซื้อขายแบบปกติ

 

ประเด็นชวนคิดจาก ...

ก่อนหน้านี้ ก... ได้กล่าวถึงเคสของ หุ้น "Game Stop" กรณีนี้ มีประเด็นน่าสนใจว่า กลไก เครื่องมือ หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในปัจจุบันยังมีช่องว่าง มีความไม่เท่าเทียม หรือก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มผู้ลงทุนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น GameStop เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็ว โดยไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ยังอาจสะท้อนให้เห็นช่องว่างของกลไกการซื้อขายในตลาด ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ลงทุนต่าง ๆ ใช้ตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือในการซื้อขายให้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองต้องการได้โดยง่าย อันกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกลไกตลาดโดยรวม จึงมีประเด็นชวนคิดดังนี้


ประเด็นแรก การขายชอร์ตในจำนวนที่มากจนเปิดโอกาสให้มีช่องทางในการซื้อขายที่ส่งผลต่อราคาหุ้น หากไม่กำหนดกฎเกณฑ์และการกำกับดูแลให้เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดกรณีไม่สามารถซื้อหุ้นคืนได้ในเวลาอันสั้น จากการเก็บสะสมหุ้นไว้ของผู้ลงทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (short squeeze) เช่นเดียวกับกรณีหุ้น GameStop


ทั้งนี้หากพิจารณาเครื่องมือในการกำกับดูแลที่ผ่านมาในบ้านเรา หลักทรัพย์ที่ขายชอร์ตได้ต้องเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องโดยอยู่ใน SET 100 มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ market cap สูง เฉลี่ย 3 เดือน ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท มีการกำหนดปริมาณการให้ยืมสูงสุดที่ บล. สามารถให้ยืมได้เมื่อเทียบกับเงินกองทุนของ บล. เป็นต้น ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวก็จะช่วยป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะ GameStop ได้ในระดับหนึ่ง โดยในส่วนของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีข้อห้ามในการขาย         ชอร์ตเช่นกัน แต่อาจมีรายละเอียดของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องแตกต่างกันไป


ประเด็นที่สอง การเผยแพร่ข้อความใน social media ในลักษณะชักชวนให้เข้าไปซื้อขายหลักทรัพย์ จนส่งผลให้ผู้ลงทุนจำนวนมากเข้าไปซื้อขายและส่งผลกระทบให้สภาพการซื้อขายของหลักทรัพย์นั้นผิดไปจากสภาพปกติ โดยที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เป็นกรณีที่ต้องระมัดระวัง  เนื่องจากในการกระทำต่าง ๆ ควรมีความเหมาะสม คำนึงถึงเหตุและผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาลงทุนต่าง ๆ ควรคำนึงถึงคุณค่าและความเสี่ยงของหลักทรัพย์ เช่น ปัจจัยพื้นฐาน โอกาสในการเติบโตและการทำกำไรของบริษัท 


ดังนั้น ราคาที่จะซื้อจะขายจึงควรจะสอดคล้องกับมูลค่าของหลักทรัพย์นั้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การกระทำในลักษณะดังกล่าว ยังอาจสร้างความไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนโดยรวม ซึ่งในกรณีนี้กฎหมายและกฎเกณฑ์ของทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ก็มีกำหนดไว้เพื่อการกำกับดูแล โดยกรณีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็มีกฎเกณฑ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการกำกับดูแลกรณีดังกล่าวได้


ประเด็นที่สาม การให้บริการของโบรกเกอร์ หรือ platform (ตัวกลาง) ที่เกี่ยวข้อง ควรมีบทบาท ขอบเขต หรือมีการให้คำแนะนำ และยับยั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างไร โดยในส่วนของการกำกับดูแลตัวกลางทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย จะมีหลักการในทำนองเดียวกัน ที่กำหนดให้ตัวกลางซึ่งเป็น


ผู้ประกอบธุรกิจมืออาชีพ ต้องให้บริการแก่ผู้ลงทุนอย่างเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุน มีความเข้าใจในความเสี่ยงของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอกับผู้ลงทุน ให้คำแนะนำและเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ๆ อย่างเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน เช่น ในกรณีที่หุ้นมีราคาปรับตัวสูงขึ้นโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ โบรกเกอร์ก็ควรมีบทบาทในการให้คำแนะนำที่เหมาะสมเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว


ทั้งนี้ ในกรณีที่ตัวกลางเป็นเพียง online platform ซึ่งไม่มีบริการด้านการให้คำแนะนำ ก็ต้องมีระบบงานที่ทำให้มั่นใจได้ว่า การส่งคำซื้อขายของลูกค้าที่ผ่าน platform ตนเอง เป็นไปอย่างเป็นธรรม มีระบบ ระเบียบ เรียบร้อย ไม่เกิดผลกระทบต่อผู้ลงทุนและตลาดโดยรวม และหากมีพฤติกรรมการส่งคำสั่งไม่เหมาะสม ควรมีกลไกหรือบทบาทในการยับยั้ง โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของตลาดทุนโดยรวม

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave