ห้องเม่าปีกเหล็ก

4 มุมมองนักวิเคราะห์กับการเมืองเริ่มตึงเครียด

โดย Durant
เผยแพร่ :
51 views

4 มุมมองนักวิเคราะห์กับการเมืองเริ่มตึงเครียด ควรซื้อหุ้น “กลาง-เล็ก” หรือหนีลงทุนต่างประเทศ

หลังจากสถานการณ์ชุมนุมของม็อบหลายๆ ม็อบในวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา นำไปสู่การแถลงข่าวด่วนของการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เมื่อคืนที่ผ่านมา และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในกรุงเทพมหานคร ห้ามการชุมนุมและกระทำการสุ่มเสี่ยงใดๆ ตั้งแต่เวลา 4.00 น. ของวันนี้ (15 ต.ค.63) ส่งผลกับบรรยากาศการลงทุนโดยตรง โดยตลาดหุ้นภาคเช้าวันนี้ปิดตลาดที่ 1,253.61 จุด ปรับลดลง 10.38 จุด หรือลดลง 0.82%

 

ทั้งนี้ทางม็อบฯ ยังมีการนัดชุมนุมต่อเนื่องในช่วงเย็นวันนี้ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อภาวะการลงทุน และหุ้นกลุ่มไหนที่นักลงทุนควรเข้าลงทุน หรือหลีกเลี่ยงเป็นพิเศษ Wealthy Thai ได้รวบรวมความเห็นนักวิเคราะห์มาฝาก!!!!

 

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ Wealthy Thai ว่า ตลาดหุ้นวันนี้ไม่ได้ตอบรับเชิงลบมากนัก อาจจะมีความกังวลบ้าง แต่เห็นยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีในการเข้าจับกุมแกนนำ ขณะเดียวกันการสลายการชุมนุมเมื่อเช้า (15 ต.ค.63) ผู้ชุมนุมก็สลายการชุมนุมกันเอง ลักษณะการชุมนุมในครั้งนี้ไม่เหมือน 10 ปีก่อน ที่มีแนวโน้มปักหลักยืดเยื้อ แต่ม็อบปัจจุบันเป็นลักษณะ Flash Mob คือมาไวไปไว ดังนั้นการเข้าจับแกนนำฯ ก็เป็นยุทธวิธีที่ดีที่สุด ในระหว่างที่ม็อบไม่ได้มีเกราะคุ้มกัน

 

“การชุมนุมที่ราชประสงค์เย็นนี้ ยากมากที่จะเห็นการปักหลักชุมนุม เพราะเจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าไปดูแลพื้นที่เต็มไปหมด ภาพตลาดหุ้นจะผ่อนคลายมากขึ้น แม้ว่าสถานการณ์การเมืองยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก แต่เนื่องจากไม่เกิดความรุนแรง ดังนั้นภาพตลาดหุ้นวันพรุ่งนี้จึงน่าจะเห็นการฟื้นตัวในกรอบ 1,250-1,260 จุด นอกจากนี้มองว่าตลาดหุ้นซึมซับประเด็นการเมืองไปพอสมควร จึงน่าจะเห็นการฟื้นตัวได้” นายประกิตกล่าว

หุ้นกลุ่มไหน? ที่จะได้อานิสงส์จากปัจจัยการเมือง

 

ถ้าดูเป็นรายกลุ่ม ช่วงนี้แนะนำนักลงทุนเลือกหุ้นกลุ่มส่งออก จากค่าเงินบาทอ่อนค่า ในสถานการณ์เช่นนี้ที่เงินทุนต่างชาติจะไหลออก ดังนั้นจึงโฟกัสไปที่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ SVI ,HANA กลุ่มส่งออกอาหาร CPF,TU รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ฐานราก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ CPALL, HMPRO, CRC กลุ่มสื่อสาร ADVANC , INTUCH กลุ่มการเงิน SAWAD, MTC, JMT และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่กำลังประกาศงบ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่างบจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ เช่น BBL, TISCO

 

มองม็อบไม่ได้น่าห่วง

ด้านนายวิจิตร นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตลาดเปิดลบจากปัจจัยภายในและต่างประเทศ โดยในส่วนต่างประเทศ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอาจล่าช้า ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ตลาดถูกกดดันจากการเมืองในระยะสั้น ซึ่งมีแนวโน้มยืดเยื้อ แม้ว่าล่าสุดทางนายกรัฐมนตรีจะประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จุดนี้ต้องบอกว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไม่ชอบอะไรก็ตามที่คลุมเครือ เพราะฉะนั้นอาจจะมีจังหวะที่นักลงทุนจะลดน้ำหนักการลงทุนลงบ้าง เพื่อรอความชัดเจน

 

“อย่างไรก็ตามถ้าเปรียบเทียบ “ภาพการเมือง” ในอดีตที่เคยผ่านมา เช่น ม็อบเสื้อเหลือง เสื้อแดง มองว่า รอบก่อนๆ ดูหนักกว่ารอบนี้ค่อนข้างมาก ขณะที่การเมืองรอบปัจจุบัน มองกลางๆ มีมาตรการควบคุมใช้ค่อนข้างเร็ว เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการเคลียร์ตัวม็อบ ดังนั้นโดยรวมตลาดหุ้นบ้านเราคงมีภาพกดดันในลักษณะนี้ เพียงแต่ว่าปัจจัยการเมืองสะท้อนในราคาหุ้นในระดับหนึ่งแล้ว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่กดตลาดอยู่ก่อนแล้ว ก็คงต้องรอจังหวะการเลือกหุ้น เพื่อตั้งรับสถานการณ์” นายวิจิตรกล่าว

 

แนะลงทุน SINGER, RS

 

นายวิจิตรกล่าวว่า ส่วนในด้านกลยุทธ์การลงทุน หุ้นที่โดนกดดันทั้งจากผลประกอบการบริษัท และจากปัจจัยเศรษฐกิจ งบอาจออกมาแย่ อย่างไรก็ตามมองว่าหุ้นที่ได้รับแรงกระแทก ไม่ใช่หุ้นที่ล้อไปการเมืองหนักๆ เช่น กลุ่มก่อสร้าง แต่จะเป็นกลุ่มหุ้นที่โมเมนตัมฟื้นตัวช้าและค่อนข้างเหนื่อย ซึ่งอาจจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันลดน้ำหนักการลงทุน เพื่อเก็บหุ้นที่จะมีผลประกอบการไตรมาส 3-4 ดีๆ

 

“บางคนอาจจะมองว่าพอมีการเมือง ต้องเลี่ยงกลุ่มรับเหมา แต่ส่วนตัวไม่ได้มองธีมนั้น แต่มองว่าปัจจุบันเป็น “ธีมหน้างบ” ดังนั้นการเลือกหุ้น ต้องเลือกหุ้นงบดี เพราะว่าหุ้นการเมืองมองว่าคนเบื่อมากแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำเลือกหุ้นไซส์กลางที่งบออกมาดี พอที่จะหลบแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ แนะนำ SINGER และ RS” นายวิจิตรกล่าว


เอเซีย พลัส มอง SET ยังผันผวน ให้น้ำหนักหุ้นกลาง-เล็กมากขึ้น

 

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส รายงานสถานการณ์ว่า การเมืองเต็มไปด้วยเรื่องที่เกินคาด ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นยังคงผันผวน สำหรับสถานการณ์วันนี้มีการนัดหมายกันที่จะรวมตัวชุมนุมใหม่บริเวณ ราชประสงค์ แม้รัฐบาลจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในมุมกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยประเมินว่า จากนี้ไป ปัจจัยการเมืองก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามใกล้ชิด เนื่องจากจะมีผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผู้บริโภค

 

ทิศทางของ SET Index ที่ตอบสนองต่อเนื่องนี้ เชื่อว่าจะยังอยู่ในภาวะที่ผันผวนอยู่ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นไปที่หุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ดี โดยจะให้น้ำหนักไปที่หุ้นขนาด กลาง-เล็กมากขึ้น

 

สำหรับการรายงานงบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังคงน้ำหนักน้อยกว่าตลาด จากการพิจารณาเรื่อง NPL โดยหุ้นที่แนะนำซื้อมีเพียงบริษัทเดียว คือ BBL ทั้งนี้ในช่วงดังกล่าวแนะนำ “หุ้นกลาง-เล็ก” ที่ปันผลสูง ซึ่งจะเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดีมากกว่า



“ทรีนีตี้” มองไตรมาส 4 เป็นความเสี่ยง ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหุ้นจีน-เวียดนาม

 

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ภาพการลงทุนไตรมาส 4 ของปีนี้ การลงทุนอาจจะผันผวนมากๆ เนื่องจากฟันด์โฟลว์โลกอาจจะรอความชัดเจนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักลงทุนอาจจะเลือกหุ้นที่มีลักษณะ Defensive สินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แต่คาดว่าตลาดหุ้นไทยและกลุ่ม Emerging Market อาจจะได้ผลบวกจากการมีความชัดเจนขึ้นของนโยบายประเทศทางฝั่งตะวันตก ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

 

ดังนั้นแนะนำเลือกหุ้นขนาดกลาง-เล็ก และเพิ่มน้ำหนักลงทุน “หุ้นจีน” และ “หุ้นเวียดนาม” ในน้ำหนักการลงทุน 10% ซึ่งเริ่มลงทุนตั้งแต่ ต.ค.-พ.ย.นี้ โดยปัจจัยสนับสนุนการลงทุนหุ้นเวียดนามคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ในแบบ V Shape คาดการณ์จีดีพีเติบโต 2.7-3% ในปีนี้ และกว่า 6-8% ในปี 2564 ขณะที่ช่วง COVID-19 จีดีพีหลายประเทศติดลบ รวมทั้งค่าเงินดองเวียดนามหรือ Vietnamese Dong ที่มีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าในอดีต     

 


ซึ่งทุนสำรองระหว่างประเทศของเวียดนามสูงเป็นประวัติกาลกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะเดียวกันเวียดนามกำลังจะขยับขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในดัชนี MSCI Frontier composite ในปี 2564 จะส่งผลดีกับเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้กฎหมายและเกณฑ์ใหม่ๆ ที่กำลังมีผลบังคับใช้จะช่วยให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าถึงตลาดหุ้นเวียดนามได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสที่เข้า MSCI Emerging Market ในกลางปี 2565 สำหรับจังหวะเหมาะสมในการลงทุนหุ้นเวียดนาม เริ่มลงทุนตั้งแต่เดือน ต.ค.ถึง พ.ย.นี้ โดยอาจจะใช้ Dollar Cost Average เพื่อบริหารต้นทุน

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant