การลงทุนใน หุ้น ปันผล ดี หรือ หุ้นที่ให้เงินปันผลอย่างสม่ำเสมอนั้น บางครั้งการดูแต่เพียงเงินปันผลก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป
รูปแบบการลงทุนในปัจจุบันมีมากมายหลายแบบ มีทั้งแบบความเสี่ยงต่ำ เช่นการฝากเงินในธนาคาร การซื้อพันธบัตร ไปจนถึงแบบความเสี่ยงสูงเช่นการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นนั้น การซื้อหุ้นเพื่อรับเงินปันผลก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุน โดยนักลงทุนมักจะมองว่าการลงทุนดังกล่าวค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากเชื่อว่าตนเองจะได้รับเงินปันผลอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางคนก็เจ็บตัวจากการซื้อหุ้นปันผลกันมาเหมือนกันซึ่งมาจากหลายๆ สาเหตุ บทความนี้จะแสดงถึงข้อควรระวังและสิ่งที่ควรทำในการลงทุนหุ้นปันผลกันค่ะ
Don’t : ซื้อหุ้นปันผลก่อนวัน XD เพียง 1-2 วัน นักลงทุนมือใหม่มักนิยมซื้อหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผลก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD เพียง 1-2 วัน เพราะคิดว่าตนเองลงทุนเพียงไม่กี่วัน ก็จะได้รับเงินปันผลง่ายๆ อย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในวันที่หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD นั้น ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่าเงินปันผลที่นักลงทุนได้รับ หากนักลงทุนขายหุ้นตัวนั้นทันที แทนที่จะได้กำไรจากเงินปันผล กลับกลายเป็นขาดทุนจากส่วนต่างราคา เช่นหุ้น AAA จะมีการจ่ายเงินปันผลที่ 5 บาท ต่อหุ้น และจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 4 มีนาคม 2554 นายมือใหม่ต้องการซื้อหุ้นเพื่อรับเงินปันผล จึงเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวในวันที่ 3 มีนาคม 2554 แต่ในวันที่ 4 มีนาคม ราคาหุ้นปรับตัวลงถึง 6 บาท ทำให้นายมือใหม่ตกใจและรีบขายหุ้นดังกล่าวออกไป สรุปแล้วนายมือใหม่ขาดทุน 1 บาทต่อหุ้น
Do : ควรซื้อหุ้นก่อนที่บริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผล เนื่องจาก เมื่อบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงแล้ว นักลงทุนจะรีบเข้าซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวโดยทันที ทำให้ราคาหุ้นทยอยปรับตัวขึ้นไปจนสูงแล้ว ดังนั้น หากคุณซื้อหุ้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD เพียง 1-2 วัน จะเป็นการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่สูงแล้ว สำหรับวันที่บริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผลนั้น คุณสามารถศึกษาข้อมูลของวันประกาศจ่ายเงินปันผลในอดีตเป็นตัวช่วยได้
Don’t : ถือหุ้นปันผลตัวเดิมตลอด เพราะเชื่อว่าจะได้รับเงินปันผลระดับสูงเสมอ นักลงทุนที่ชอบซื้อหุ้นปันผลบางท่านจะนิยมถือหุ้นปันผลตัวเดิมไปเรื่อยๆ เพราะเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวจะมีการจ่ายปันผลในอัตราที่สูงโดยตลอด ในความเป็นจริง การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะไม่ได้จ่ายเป็นจำนวนเงินเท่า เดิม ซึ่งมาจาก 3 สาเหตุหลักคือ
1. การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจะขึ้นอยู่กับกำไรต่อหุ้น เช่น หุ้น BBB มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรต่อหุ้น หากกำไรต่อหุ้นของ BBB ในปี 2553 เท่ากับ 10 บาท บริษัทก็จะมีโอกาสจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3-10 บาท อย่างไรก็ตาม หากในปี 2554 บริษัทขาดทุน ทำให้กำไรต่อหุ้นติดลบ บริษัทก็มีสิทธิที่จะไม่จ่ายเงินปันผลได้
2. การเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายเงินปันผล บริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นหลัก หรือโครงสร้างธุรกิจ จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายเงินปันผลได้ เช่นหุ้น CCC เคยมีนโยบายจ่ายเงินปันผล 100% ของกำไรต่อหุ้น ต่อมาธุรกิจจำเป็นต้องมีการลงทุนระบบครั้งใหญ่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายปันผลลดลงเหลืออย่างน้อย 50% ของกำไรต่อหุ้น
3. กำไรพิเศษ บางครั้งบริษัทจดทะเบียนมักจะมีกำไรพิเศษเข้ามา ทำให้กำไรต่อหุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้น เช่น หุ้น BANPU ซึ่งทำธุรกิจขายถ่านหิน แต่ในปี 2553 มีการขายหุ้น RATCH ออกมา ซึ่งทำให้บริษัทได้กำไรสูงมาก การจ่ายเงินปันผลจึงมีโอกาสสูงตามกำไรที่บริษัทได้รับ อย่างไรก็ตาม ในปี 2554 หากบริษัทไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว การจ่ายเงินปันผลก็จะไม่สูงเท่ากับในปี 2553
Do : ศึกษาข้อมูลหุ้นที่มีอยู่เสมอ แม้ว่า หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ พื้นฐานดี แต่ในการทำธุรกิจนั้น ผลการดำเนินงานมีความผันผวนอยู่เสมอ เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคาร แม้ว่าธุรกิจจะดูมั่นคง แต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หลายธนาคารประสบกับภาวะขาดทุน ทำให้เงินปันผลที่นักลงทุนคาดหวังลดลงตามไปด้วย หรือสำหรับบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายเงินปันผล หากนักลงทุนต้องการถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลระยะยาว เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าว ก็จะสามารถขายหุ้นออกไป เพื่อไปซื้อหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในระดับสูงตัวอื่นแทน
แม้ว่าการลงทุนในหุ้นปันผลดูเหมือนจะมีความเสี่ยงที่ไม่สูงมากนัก แต่จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนอยู่ในระดับสูง การลงทุนดังกล่าวก็ยังคงมีความเสี่ยงที่สูงอยู่ วิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงลงได้คือการลงทุนระยะยาว และศึกษาข้อมูลสภาวะตลาด รวมทั้งหุ้นที่คุณสนใจ ซึ่งจะช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับเงินปันผลและกำไรจากการถือหุ้นในอัตราที่สูง ได้ค่ะ