"เอาแล้ว 'ทรัมป์' ปล่อยของ บอกให้ซื้อหุ้น! ตลาดตื่นเต้นรับข่าวดีล UK-จีน...งานนี้มีรวย… มั้ง
| Podcast Available
เรื่องของเรื่องคือ เมื่อวาน ทรัมป์ ได้ประกาศข่าวใหญ่ถึงสองเรื่องซ้อนกันค่ะ ยังกับปั่นหุ้นเลย

หนึ่งคือการบรรลุข้อตกลงกรอบการค้ากับสหราชอาณาจักร หรือ UK ซึ่งทรัมป์ถึงกับยกย่องว่าเป็น "ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์" (historic achievement) และเป็นก้าวแรกที่สำคัญในความพยายามของเขาที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่เลยทีเดียวค่ะ
ภายใต้ข้อตกลงที่กำลังสรุปรายละเอียดขั้นสุดท้ายนี้ สหราชอาณาจักรจะอำนวยความสะดวกให้สินค้าจากอเมริกาผ่านกระบวนการศุลกากรได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และลดอุปสรรคทางการค้าบางประการลง แม้ว่าจะยังคงมีภาษีพื้นฐานที่ 10% อยู่ก็ตาม โดยข่าวนี้ก็สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไปเปลาะหนึ่งแล้วนะคะ
แต่ที่ทำให้ตลาดตื่นตัวยิ่งกว่านั้น คือการที่ทรัมป์ออกมาส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้ากับจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่และเป็นเป้าหมายหลักของการขึ้นภาษีของทรัมป์มาโดยตลอด เขาแย้มว่าหากการพูดคุยกับจีนเป็นไปด้วยดี ก็อาจจะมีการพิจารณาลดกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 145% ลงได้
ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ ทรัมป์ยังได้กล่าวกับนักลงทุนอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "นี่เป็นช่วงเวลาที่พวกคุณควรออกไปซื้อหุ้นได้แล้ว" (This country will hit a point that you better go out and buy stock) คำพูดนี้เองค่ะที่เหมือนเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีจุดประกายความหวังและกระตุ้นแรงซื้อในตลาดอย่างรวดเร็ว
ผลที่ตามมาก็คือ บรรยากาศการลงทุนพลิกกลับมาเป็น "เปิดรับความเสี่ยง" หรือที่ศัพท์การเงินเรียกว่า "Risk-On"อย่างเต็มตัว
ดัชนีตลาดหุ้นหลักๆ ของสหรัฐฯ ต่างพากันปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า ดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% และในช่วงหนึ่งของการซื้อขาย ดัชนีสามารถทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายนได้สำเร็จ ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ดัชนี Nasdaq 100 ที่เต็มไปด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก็ปรับตัวขึ้นถึง 1% ส่วนดัชนี Dow Jones Industrial Average ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ 30 แห่ง ก็เพิ่มขึ้น 0.6% และดัชนี Russell 2000 ที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นบริษัทขนาดเล็ก ก็พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 1.8%
แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่กระจายตัวไปในวงกว้าง เมื่อนักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์เสี่ยง สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและสกุลเงินที่ถูกมองว่าเป็นหลุมหลบภัย (haven currencies) เช่น เงินเยนของญี่ปุ่น จึงปรับตัวลดลงตามระเบียบ
ส่วนในตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งจะเคลื่อนไหวสวนทางกับราคาพันธบัตร ก็ดีดตัวสูงขึ้นถึง 11 เบสิสพอยต์ (basis points) ไปอยู่ที่ระดับ 4.38%
โดยการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนลดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็วๆ นี้ เนื่องจากเห็นสัญญาณบวกจากเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ค่ะ
อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ร้อนแรงไม่แพ้กันคือ Bitcoin ซึ่งราคาทะยานขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 4.7% ไปอยู่ที่ระดับ $101,323.45 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการกลับมายืนเหนือระดับ $100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อีกครั้ง
หัวใจสำคัญที่ตลาดกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดจริงๆ ก็คือการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยมีกำหนดการที่รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ นายสก็อต เบสเซนต์ และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นางเจมีสัน เกรียร์ จะเดินทางไปพบกับรองนายกรัฐมนตรีจีน นายเหอ ลี่เฟิง ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
โดยทรัมป์เองก็แสดงความเชื่อมั่นว่าการเจรจาในครั้งนี้น่าจะมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม เขากล่าวว่า "ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญ" และย้ำว่าหากการพูดคุยเป็นไปได้ด้วยดี เขาก็พร้อมจะพิจารณาลดภาษี 145% ที่เรียกเก็บจากสินค้าจีนลง
"มันอาจจะเป็นไปได้ เราต้องรอดู แต่ตอนนี้คุณไม่สามารถขึ้นภาษีให้สูงกว่านี้ได้อีกแล้ว มันอยู่ที่ 145% ดังนั้นเรารู้ว่ามันกำลังจะลดลง ผมคิดว่าเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก"
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเชื่อมโยงข่าวดีด้านการค้าเข้ากับความพยายามของพรรครีพับลิกันในการผลักดันกฎหมายขยายมาตรการลดหย่อนภาษีครั้งใหญ่ของเขา โดยมองว่าปัจจัยเหล่านี้จะยิ่งส่งเสริมให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ถึงกับเปรยว่า "ประเทศนี้จะเป็นเหมือนจรวดที่พุ่งทะยานขึ้นไปเลย"
อย่างไรก็ตาม การเจรจากับจีนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและมีความซับซ้อนซ่อนอยู่เสมอ ทรัมป์เองก็เปิดเผยว่าเขามีแผนจะหยิบยกกรณีของนายจิมมี่ ไหล่ (Jimmy Lai) อดีตเจ้าพ่อสื่อชาวฮ่องกงขึ้นมาพูดคุยในระหว่างการเจรจาด้วย ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและอาจสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลจีนได้
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ออกมาขู่บริษัทผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่อย่าง Mattel Inc. หลังจากที่บริษัทประกาศว่าจะขึ้นราคาสินค้าบางรายการในสหรัฐฯ ที่นำเข้าจากจีน อันเนื่องมาจากผลกระทบของภาษีที่ทรัมป์เป็นผู้กำหนดขึ้น
โดยทรัมป์กล่าวว่า "เราจะขึ้นภาษี 100% กับของเล่นของเขา และเขาจะขายของเล่นในสหรัฐฯ ไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งที่นี่เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา" ท่าทีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสไตล์การเจรจาที่แข็งกร้าวและพร้อมจะใช้แรงกดดันของทรัมป์ แม้ว่าในภาพรวมเขาจะแสดงความหวังว่าข้อตกลงจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในทางเศรษฐกิจ และอยากเห็นจีนเปิดกว้างมากขึ้นก็ตาม
บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญในตลาดต่างก็ออกมาให้ทรรศนะต่อสถานการณ์นี้กันอย่างหลากหลายค่ะ
คุณแมตต์ มาลีย์ จาก Miller Tabak + Co. ชี้ว่า "เมื่อเราได้รับรายละเอียดของข้อตกลงการค้า (กับ UK) ในวันนี้ และค้นพบว่าสหรัฐฯ และจีนมีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใดในการเจรจาข้อตกลงการค้าที่สำคัญที่สุดในช่วงสุดสัปดาห์นี้ มันน่าจะทำให้นักลงทุนมีความชัดเจนมากขึ้นว่าประเด็นการค้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกอย่างไรต่อไป"
ทางด้านคุณหลุยส์ นาวาลลิเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Navellier & Associates มองว่า "ประเด็นเรื่องภาษีกำลังชี้นำทิศทางตลาดอีกครั้ง เรากำลังเห็นบรรยากาศการลงทุนที่เปิดรับความเสี่ยง ความกลัวที่จะพลาดโอกาสจากข้อตกลงที่ดีที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทำให้จำนวนผู้ขายมีจำกัด"
สอดคล้องกับคุณคริส ลาร์กิน จาก E*Trade ของ Morgan Stanley ที่ย้ำว่าประเด็นการค้ายังคงเป็นเรื่องหลักที่ขับเคลื่อนตลาด และทิศทางของตลาดน่าจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้น
ถึงกระนั้น ก็มีเสียงเตือนถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่
คุณฟาวัด ราซัคซาดา นักวิเคราะห์จาก City Index และ Forex.com ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า "การประชุมสุดสัปดาห์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการเริ่มต้นทำลายกำแพงน้ำแข็งทางการทูต (diplomatic icebreaker) มากกว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญ (breakthrough moment) เราอาจจะต้องเผชิญกับฤดูการเจรจาที่ยืดเยื้อยาวนาน ซึ่งอาจจำกัดโอกาสที่สินทรัพย์เสี่ยงจะปรับตัวขึ้นได้"
ขณะที่คุณมาร์ติน แฟรนด์เซน จาก Principal Asset Management ก็เสริมว่า ตลาดน่าจะต้องการหลักฐานเพิ่มเติมว่าความไม่แน่นอนได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ก่อนที่เราจะเห็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจฟื้นตัวกลับมาอย่างแท้จริง
คุณคริส แซคคาเรลลี จาก Northlight Asset Management มองว่า ข้อตกลงกับสหราชอาณาจักร แม้จะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดาและเม็กซิโก หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับจีน แต่มันก็เป็น "กรณีทดสอบที่สำคัญ และเป็นต้นแบบของสิ่งที่สามารถทำได้สำเร็จ หากรัฐบาลสามารถทำข้อตกลงเพิ่มเติมได้อีก มันจะช่วยเยียวยาตลาดหุ้นที่บอบช้ำมาตลอดทั้งปีได้อย่างมาก"
ต้องยอมรับว่าสงครามการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของทรัมป์ได้สร้างความผันผวนอย่างหนักให้กับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เพียงแค่เดือนที่แล้ว ดัชนี S&P500 ยังร่วงลงไปเกือบจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (bear market) ก่อนที่จะดีดตัวกลับขึ้นมาเกือบ 14% ด้วยความหวังว่าการเจรจาการค้าจะเป็นไปในทิศทางบวก
ข้อมูลจาก Bespoke Investment Group ชี้ว่าในอดีต ผลการดำเนินงานเฉลี่ยของดัชนี S&P500 หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ภายในหนึ่งเดือน หลังจากที่เคยปรับตัวลงในระดับเดียวกันในเดือนก่อนหน้า มักจะดีกว่าค่าเฉลี่ยในทุกช่วงเวลานับตั้งแต่ปี 1953 ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนนะคะ
สรุปและความเห็นส่วนตัวของแอด
ทรัมป์มันบอกให้ซื้อหุ้นแล้ว คุณละซื้อหรือยัง
ปล. ใครเค้าตกรอบฟุตบอลยุโรปกันเนอะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. Facebook Beauty Investor