ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตี๋โบ๊โผล่หัวคุย

โดย Turbo
เผยแพร่ :
63 views

 Related image

ชาวนาเมืองช้างเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวหอมมะลิกว่า 3 แสนไร่ ขายตันละ 1.2 หมื่น

 
 

ทุ่งรวงทอง... เข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวชาวนา จ.สุรินทร์ เริ่มลงมือเกี่ยวข้าวหอมมะลิสุกเหลืองทองอร่ามเต็มท้องทุ่งกว่า 3 แสนไร่  ขณะราคาข้าวเปลือกปีนี้ขยับขึ้นเป็นตันละ 12,500 บาท วันนี้ ( 30 ต.ค.)

ที่สุรินทร์ครับ หาชมความงามอย่างนี้ยากแล้วนะครับ

 

 

 

กฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สสค.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 หรือลงทะเบียนคนจนประจำปี 2560 เอาไว้เช่นนั้น ในช่วงกำลังคัดเลือกรายชื่อเพื่อค้นหา “ผู้ผ่านเกณฑ์คนจนตัวจริง” 

 


โดยได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญว่า ในการลงทะเบียนครั้งถัดไปในปี 2561 จะขอคาดโทษ “คนจนไม่จริง” แต่ยังมาลงทะเบียนด้วย นั่นก็คือหากบุคคลกลุ่มนี้ กลายเป็นกลุ่ม “จนจริง” ในอนาคตอาจไม่ได้รับสิทธิรับสวัสดิการจากภาครัฐอีกต่อไป เพราะในครั้งนี้ มีผู้ลงทะเบียนที่ไม่เข้าเกณฑ์คุณสมบัติกว่า 2.5 ล้านคน ทำให้เหลือผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเพียง 11.67 ล้านคนเท่านั้น

โดยผู้ได้รับบัตรจากโครงการนี้ จะได้รับความช่วยเหลือถึง 2 ด้าน คือ 1.ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ คือผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินจำนวน 300 บาทต่อเดือน และผู้มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 100,000 บาท จะได้รับเงินจำนวน 200 บาทต่อเดือน 

 


และ 2.ช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทาง คือได้ค่าโดยสารรถเมล์-รถไฟฟ้า จำนวน 500 บาทต่อเดือน (ใช้ชำระค่าโดยสารด้วยระบบ e-Ticket), ค่าโดยสารรถ บขส. วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน และค่าโดยสารรถไฟ วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินช่วยเหลือในแต่ละส่วน จะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนไม่นำมารวมกัน

อย่างไรก็ตาม บารมี ชัยรัตน์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสมัชชาคนจน ก็ยังมองเห็นช่องโหว่รูใหญ่ของระบบนี้อยู่ดี เพราะถึงแม้จะมี “บัตรคนจน” แล้ว แต่ก็ยังมี “บัตรข้าราชการ” อยู่เหมือนกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นสิทธิที่ไม่เท่าเทียมกัน เช่น หากป่วยด้วยโรคเดียวกัน คนทั้ง 2 กลุ่มนั้น อาจจะได้ยาคนละชนิดกัน จึงเสนอแนะเอาไว้ว่า ถ้าอยากให้โครงการช่วยเหลือคนจนเกิดประสิทธิภาพจริงๆ ก็จำเป็นต้องเก็บ “ภาษีคนรวย” อย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้ศักดิ์สิทธิ์แค่ในลายลักษณ์อักษร แต่บังคับใช้จริงล้มเหลวอย่างทุกวันนี้

 


นอกจากนี้ วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและนักวิจัยประจำสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ยังได้วิเคราะห์ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ผ่านบทความที่ใช้ชื่อว่า “2 สัปดาห์บัตรคนจน และการประเมินผลที่ชวนสงสัย” ซึ่งเขียนขึ้นหลังจับตาดูตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรกของการเริ่มโครงการ โดยแสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่า โครงการนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ผิดจุด เพราะผิดมาตั้งแต่การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพราะนิยาม “คนจน” ที่ไม่ถูกต้อง

“เนื่องจากผู้รับได้บัตรมีจำนวนมากถึง 11.67 ล้านคน ขณะที่คนจนที่แท้จริง จากการสำรวจโดยสศช. มีเพียง 4.85 ล้านคน หากนำตัวเลขผู้ว่างงาน ซึ่งสามารถลงทะเบียนได้เข้ามาเพิ่ม ก็ยังไม่ทำให้ได้คนจนเท่ากับ 11.67 ล้านจนอยู่ดี สะท้อนว่าโครงการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการวางกลุ่มเป้าหมาย

หลังจากที่ได้เริ่มใช้โครงการไปแล้ว ก็พบว่ามีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความเร่งรีบในการเริ่มโครงการทั้งที่ขาดความพร้อมของร้านค้าธงฟ้าและการกำกับดูแล เช่น กรณีที่ผู้มีรายได้น้อยเอาบัตรสวัสดิการไปแลกเป็นเงินสด ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่า ในเมื่อผู้ถือบัตร (ไม่ขอใช้คำว่า คนจน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นคนจน) สามารถนำเงินไปซื้ออะไรก็ได้ 

 


เหตุใดจึงยังต้องการถือเงินสดอยู่ หากจะนำไปซื้อสินค้าในตลาดสด ผู้ถือบัตรก็สามารถนำค่าจ้างที่ได้รับเป็นเงินสดมาใช้ที่ตลาดได้ ความเป็นไปได้จึงอยู่ที่ค่าใช้ส่วนอื่นที่นอกเหนือจากสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ต้องการเพิ่มเงินค่าขนมให้กับลูก ต้องการนำไปใส่ซองงานบวช หรืออาจจะนำไปเล่นการพนัน 

ประเด็นต่อมาคือการวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการบัตรคนจน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้ออกมาระบุ (เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2560) ว่า ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร (KOFC) ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์โครงการประชารัฐสวัสดิการ พบว่า กว่า 30% ของผู้ถือบัตรคนจนเป็นเกษตรกร ขณะที่อีกกว่า 70% นั้น อยู่นอกภาคเกษตรกร (หนึ่งในนั้นก็มีบุคคลที่จบปริญญาโทและปริญญาเอกรวมอยู่ด้วย) 

 


ดังนั้น ภาพรวมของผู้ถือบัตรจึงชัดเจนขึ้นว่า ผู้รับได้ประโยชน์มีคนที่จนไม่จริงปะปนอยู่มากพอสมควร เพราะคนที่จนที่สุดในสังคมกระจุกตัวอยู่ในภาคเกษตร แต่ไม่ใช่ทุกคนในภาคเกษตรที่ถือบัตรดังกล่าว”


Turbo