ยืมแล้วไม่คืน แบงก์หนี้เสียอื้อ รวมเกือบ 5 แสนลบ. คาดยังเพิ่มขึ้นอีก
เมื่อเราตัดสินใจที่จะให้ใครหยิบยืมเงินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่น้อง คนรู้จัก สถานะจะกลายเป็นเจ้าหนี้ ความคาดหวังของเจ้าหนี้ก็คือ คนที่ยืมเงินหรือลูกหนี้เหล่านั้น จะนำเงินมาคืนเมื่อไร แม้ว่าเราจะทวงแล้วทวงอีก แต่เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เวลาที่ล่วงเลยไปจากวันที่ยืม พบว่ามีเจ้าหนี้ที่ได้เงินคืนเต็มจำนวน ได้เงินคืนบางส่วน หรือบางคนอาจจะไม่ได้คืนเลย แถมลูกหนี้เหล่านี้อาจจะหลบลี้หนีหน้าไป
หลักการนี้ก็เหมือนกับธุรกิจหลักของธนาคารที่รับเงินฝากเข้ามา และนำไปบริหารโดยการให้กู้ยืมเงินต่อ มีรายได้จากการคิดดอกเบี้ย ซึ่งลูกหนี้ธนาคารมีทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป บางคนก็มีสินทรัพย์ค้ำประกัน บางคนก็ไม่มี แต่หากคนเหล่านี้เบี้ยวหนี้ธนาคาร ไม่จ่ายคืน 90 วัน หรือ 3 เดือนขึ้นไปหนี้เหล่านี้ก็จะกลายเป็นหนี้เสีย หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)
ข้อมูลรายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์ (ธ.พ. 1.1 ) ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ล่าสุด พบว่ายอดหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้น ยอดรวม 5 ธนาคารอยู่ที่ 400,917 ล้านบาท ส่วนหนึ่งจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ และอีกส่วนจากการเริ่มใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ หรือ TFRS9 ที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะลูกหนี้ เป็น 3 ชั้น (Stage) ได้แก่ ลูกหนี้ Stage 1 (กลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตไม่เปลี่ยนแปลงจากวันแรกของการให้สินเชื่อ) Stage 2 (กลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ) และ Stage 3 (กลุ่มหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLs) ซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองลูกหนี้แต่ละชั้นต่างกัน
จากข้อมูล พบว่า ธนาคารกรุงไทย หรือหุ้น KTB มีหนี้เสียสูงที่สุด รองลงมาตามลำดับได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย หรือหุ้น KBANK ธนาคารกรุงเทพ หรือหุ้น BBL ต่อมา คือ ธนาคารไทยพาณิช์ หรือหุ้น SCB และธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือหุ้น BAY
หากพิจารณาตัวเลขหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมถือว่าไม่มากนัก อยู่ที่ประมาณ 2-4% เพราะหากเทียบ 100% หนี้เสียยังไม่ถึง 5% แต่ก็ต้องจับตาว่าทั้ง 95% ไส้ในเป็นหนี้ดีแท้จริงเท่าไร มีตัวเลขที่เป็นหนี้ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือ Stage 2 เพราะมีอาจมีโอกาสที่จะกลายเป็น NPLs เพิ่มขึ้นได้
ตัวเลข NPLs ที่เกิดขึ้น ธนาคารต่างๆ มีมาตรการบริหารทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อให้ธุรกิจกลับมาชำระหนี้คืนได้ หรือมีการตัดหนี้สูญ (write-off) ออกจากบัญชีไป ตัวเลข NPLs เหล่านี้อาจจะลดลง อย่างไรก็ดี ธนาคารได้มีการตั้งสำรองหนี้ NPLs เหล่านี้ไว้แล้ว แม้ว่าจะไม่จะสามารถชำระหนี้คืนได้ก็จะไม่กระทบต่อสถานะทางการเงินของธนาคาร โดย BBL มีเงินสำรองสูงสุดกว่า 161,600 ล้านบาท หรือเทียบกับ NPLs อยู่ที่ 192.5% รองลงมา BAY มีเงินสำรองกว่า 55,498 ล้านบาท หรือ 141.2% ใกล้เคียงกัน คือ SCB เงินสำรองอยู่ที่ 115,560 ล้านบาท หรือ 140.1% ส่วน KBANK อยู่ที่ 114,029 ล้านบาท หรือ 128.5% และ KTB อยู่ที่ 133,458 ล้านบาท หรือ 125.3%
ธปท. เผยระบบแบงก์ไทยแกร่งรองรับหนี้เสียได้
ธาริฑธิ์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตรวจสอบและวิเคราะห์ความเสี่ยงสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า แนวโน้มหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นไม่น่าแปลกใจ เพราะปกติสถาบันการงินเป็นภาพสะท้อนระบบเศรษฐกิจ เมื่อระบบเศรษฐกิจแผ่วลง เป็นไปได้ที่ NPLs จะปรับสูงขึ้น ทั้งนี้จากผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจัดชั้นตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs หรือ stage 3) อยู่ที่ 4.968 แสนล้านบาท (เฉพาะธนาคาร 5 แห่งข้างต้นมี NPLs รวมกันกว่า 4 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมที่ 3.05% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.98%
ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 7.70% ส่วนในอนาคต NPLs จะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ 1.มาตรการจากภาครัฐที่เข้าไปช่วยเหลือ 2.ผู้ประกอบการปรับตัวมากน้อยเพียงใด และ 3.สถาบันกรรเงินช่วยเหลือลูกหนี้ได้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด รวมทั้ง ปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นไตรมาส ไตรมาส 1 ปี 2563 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์(รวมทั้งสิ้น 30 แห่ง) มีความมั่นคง โดยมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2.836 ล้านล้านบาท หรืออัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 18.7% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 7.192 แสนล้านบาท หรืออัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) ที่ 143.3% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio หรือ LCR) ที่ 185.7%
หุ้นแบงก์ซื้อขายต่ำบุ๊ก ตั้งสำรองหนี้สูงกดกำไรต่ำ
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ยังให้น้ำหนัก “NEUTRAL” โดย ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบ COVID-19 ส่งผลลบโดยตรงต่อธุรกิจธนาคารซึ่งการเติบโตขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโดยตรง ทำให้ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร (SET_BANK) ได้ตอบสนองต่อผลลบดังกล่าว โดยปรับตัวลงจากช่วงสิ้นปี ก่อนถึง 39% YTD หรือเทรดที่ 0.5x BV ซึ่งสะท้อนผลลบดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว อย่างไรก็ดี กลุ่มธนาคารยังต้องตั้งสำรองสูงภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยอยู่ในขณะนี้ ซึ่งหลายๆ ธนาคารออกมายอมรับว่าการตั้งสำรองในระดับสูงยังคงมีต่อไปในช่วงที่เหลือของปีซึ่งจะกดดันกำไรของธนาคารต่างๆ ดีกว่าธนาคารอื่นในช่วงที่เหลือของปี
ทั้งนี้ มอง Q2/63 ที่น่าจะได้รับผลลบจาก COVID-19 มากกว่า Q1/63 อาจดึงให้กลุ่มธนาคารยังอาจปรับตัวลงได้อีกเล็กน้อย แต่เชื่อว่าหลังวิกฤติ COVID-19 จบ ภาครัฐคงต้องเร่งฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น และปัจจุบันทุกธนาคารยังมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและมีสภาพคล่องสูง ประกอบกับเราเชื่อว่าสถานการณ์ตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้น่าจะดีขึ้น ส่งผลให้พอร์ตลงทุนที่ต้องตีราคาตลาดผ่านงบกำไรขาดทุนของธนาคารต่างๆ จะดีขึ้นด้วย ทำให้งบการเงินน่าจะกระเตื้องขึ้น
3 หุ้นเด่น BBL-TISCO-KKP
สำหรับ Top picks คือ BBL (TP=142.) เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มี coverage ratio สูงสุด คาดหวังการซื้อกิจการแบงก์เพอร์มาต้าช่วยหนุนผลประกอบการปี 2564 ขณะที่ TISCO (TP=90บ.) เป็นธนาคารที่มี ROE สูงสุดในระบบ และอัตราเงินปันผลตอบแทนสูง และได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง และ KKP (TP=57บ.) เป็นธนาคารที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูง ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง บวกกับภาวะตลาดทุนเอื้อต่อธุรกิจหลักทรัพย์ลุรกิจวาณิชธนกิจ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในปัจจุบัน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก