อัพเดต...ดอกเบี้ยแบงก์ กู้-ฝาก แบงก์ที่ไหนได้เรทดีที่สุด!
ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย อยู่ในระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ 0.75% ต่อปี ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายนี้ถือเป็นดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ โดยทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็เป็นไปตามทิศทางของดอกเบี้ยนโยบาย ทั้ง 1. ดอกเบี้ยสินเชื่อ หรือดอกเบี้ยกู้ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทแบบมีระยะเวลา (MLR) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ซึ่งดอกเบี้ย MLR และ MOR จะเป็นดอกเบี้ยที่ธนาคารคิดกับธุรกิจขนาดใหญ่ มีวงเงินกู้สูง ๆ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ที่เป็นดอกเบี้ยสำหรับการกู้ของธุรกิจเอสเอ็มอี หรือธุรกิจขนาดเล็ก และการกู้ของบุคคล เช่น สินเชื่อบ้าน เป็นต้น รวมทั้ง 2. ดอกเบี้ยเงินฝาก ได้แก่ เงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป เงินฝากประจำ เป็นต้น
ปีนี้ธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกปรับลดลงราว 0.125-0.25% ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ตามดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง 0.25% และครั้งที่สอง ช่วงต้นเดือนเม.ย. ปรับลดลง 0.40% หลังจากที่แบงก์ชาติ ผ่อนปรนให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จากเดิม 0.46% เหลือ 0.23% ของฐานเงินฝาก เป็นระยะเวลา 2 ปี (2563-2564) ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำมาก ไม่ได้ปรับลง
วันนี้ Wealthy Thai ชวนมาดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากล่าสุด ของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งว่าอยู่ที่ระดับเท่าไร เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเปรียบเทียบสำหรับคนที่กำลังจะกู้เงิน หรือฝากเงินในช่วงนี้ ซึ่งหากเราเป็นผู้กู้ก็คงอยากได้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำๆ ส่วนใครที่ฝากเงินก็อยากได้ดอกเบี้ยสูงๆ แต่ความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามจากตาราง ดังนี้
จากตารางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยอยู่ที่ราว 5-8% หรือกู้ 100 บาทจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 5-8 บาท ส่วนเงินฝากดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ แต่จะเห็นได้ว่าขนาดของธนาคารทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุน และการบริหารจัดการ ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารขนาดใหญ่จะค่อนข้างต่ำกว่าดอกเบี้ยของธนาคารขนาดเล็ก ขณะเดียวกันดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารของรัฐค่อนข้างถูกกว่าธนาคารเอกชน
ส่วนเงินฝาก ฝากออมทรัพย์ทั่วไปดอกเบี้ยเพียง 0.1-0.7% ขณะที่ฝากประจำอยู่ที่ 0.6-1.7% ฝาก 100 บาทในออมทรัพย์ทั่วไปได้ดอกเบี้ยเพียง 0.1-0.7 บาท ส่วนฝากประจำได้ 0.6-1.7 บาท โดยดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารของรัฐและธนาคารเอกชนอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ ธนาคารขนาดเล็ก จะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้ระดมเงินฝากได้เร็วหากมีความต้องการใช้
ตอนนี้ดอกเบี้ยสูงหรือต่ำ?
หากย้อนกลับไปช่วงเวลาเดียวกันนี้ในปี 2540 (ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ) ขณะนั้นดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้อ้างอิงกับดอกเบี้ยนโยบาย พบว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารอยู่สูงถึง 13-15% สูงกว่าปัจจุบันกว่า 50% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไปอยู่สูงถึง 5% สูงกว่าดอกเบี้ยปัจจุบันถึง 70-500% ส่วนดอกเบี้ยฝากประจำอยู่ที่ 8-10% สูงกว่าดอกเบี้ยปัจจุบันถึง 600-1,600% เลยทีเดียว
ขณะที่ช่วง 1 ปีหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พบว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารอยู่สูงถึง 15-25% ตามความเสี่ยงของลูกหนี้ในขณะนั้นที่ได้รับผลกระทบจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไปอยู่ 5% ส่วนดอกเบี้ยฝากประจำอยู่ที่ 10-15% ทั้งดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับที่สูงกว่าปัจจุบันอย่างมาก
ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก จะอยู่ในระดับที่สูงหรือต่ำ ส่วนหนึ่งขึ้นกับบริบททางเศรษฐกิจ รวมทั้งนโยบายเงินของประเทศในแต่ละช่วงเวลา เราอาจจะคิดว่าอัตราดอกเบี้ยขณะนี้สูงแล้ว แต่ก็เคยมีที่สูงกว่า หรือหากมองว่าดอกเบี้ยขณะนี้ต่ำแล้วอาจจะมีที่ต่ำกว่านี้ในอนาคตก็ได้...
ดอกเบี้ยของเรา...ไม่เท่ากัน
ส่วนจะเลือกขอเงินกู้ หรือเงินฝากที่ธนาคารไหน อาจใช้ตารางข้างต้นพิจารณาประกอบได้ สำหรับการขอเงินกู้ อย่าลืมพิจารณาโปรโมชั่น หรือแคมเปญที่ธนาคารจะมีการนำเสนอออกมาในแต่ละช่วง เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด แต่ดอกเบี้ยที่ผู้กู้จะได้รับแต่ละรายอาจไม่เท่ากัน ขึ้นกับความสามารถในการชำระหนี้และความเสี่ยงของผู้กู้เป็นหลัก
กรณีที่ผู้กู้มีฐานะทางการเงินไม่มั่นคง ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ถือว่ามีความเสี่ยง ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างที่เห็นการคิดดอกเบี้ย MLR หรือ MRR + X% ส่วนกรณีที่ผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำ ธนาคารอาจคิดดอกเบี้ยที่ถูกกว่าอัตราอ้างอิง ในรูปแบบ MLR หรือ MRR - X% รวมทั้ง การคิดดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารจะมี หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาสินเชื่อแตกต่างกันไป ควรเปรียบเทียบหลายธนาคารก่อนติดสินใจ
นอกจาก ดอกเบี้ยแล้ว อย่าลืมพิจารณาความสะดวก และช่องทางในการทำธุรกรรมด้วย เช่น มีช่องทางการทำธุรกรรมที่หลากหลาย สามารถทำผ่านช่องทางออนไลน์ได้ แทนที่จะต้องไปสาขา ซึ่งจะดีกว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ COVID-19 กำลังระบาดในขณะนี้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก