ห้องเม่าปีกเหล็ก

ผลกระทบ AI ต่ออนาคต ‘บัณฑิตไทย’

โดย ตำรา
เผยแพร่ :
105 views

การก่อตัวของ 'คนรุ่นที่สูญหาย' ผลกระทบ AI ต่ออนาคต ‘บัณฑิตไทย’

 

By ธนชาติ นุ่มนนท์

 

ผมตามข่าวสถานการณ์การชะลอตัวการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอึมครึม และเห็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังเข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จึงเริ่มเป็นห่วงบัณฑิตที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาหรือเพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปี

 

 

ล่าสุด ต้นสัปดาห์นี้บริษัทกูเกิลจัดงาน Google I/O 2025 โดยประกาศความสามารถใหม่ๆ หลายด้านของเทคโนโลยีเอไอที่เปิดให้ใช้งาน ความสามารถหลายอย่างน่าทึ่งมาก ทั้งค้นข้อมูล เขียนบทความ สร้างบทวิจัยเชิงลึก การสร้างภาพ การสร้างวิดีโอ รวมถึงการที่จะสนทนากับผู้คนได้แบบเรียลไทม์ เช่น การแปลบทสนทนาจากการประชุมออนไลน์

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่สร้างความฮือฮาได้มากที่สุด คือ การเปิดตัว “Google AI Ultra” สำหรับใช้งานเอไอของกูเกิลที่มีอยู่เกือบทั้งหมด ราคา 249.99 ดอลลาร์/เดือน (ประมาณ 8,000 บาท/เดือน) ราคานี้สูงกว่าค่าบริการของ ChatGPT Pro ที่เคยกำหนดไว้ในราคา 200 ดอลลาร์/เดือน

การเปิดตัวโปรแกรมเอไอราคาสูงขนาดนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าไม่แพงจนเกินไปหรือ ผมอยากให้เราลองเทียบกับเงินเดือนของบัณฑิตจบใหม่ที่ในตอนนี้หลายแห่งต้องจ่ายเริ่มต้นประมาณเกือบ 20,000 บาท บางสาขาจำเป็นต้องใช้คนในการทำงานจริง แต่ตอนนี้มีหลายสาขาที่เราเริ่มพบว่าเอไอทำงานได้ดีกว่าบัณฑิตจบใหม่ ที่ยังขาดประสบการณ์ และด้วยค่าโปรแกรมเอไอราคา 8,000 บาท/เดือน กลับมีทักษะสารพัดอย่าง ตั้งแต่เขียนโปรแกรม ทำกราฟิก วิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ช่วยแปลภาษา เขียนเอกสารได้หลากหลายภาษา เราคงหาคนที่มีความสามารถขนาดนี้ไม่ได้ ผมเองก็ทำไม่ได้

แต่ถ้านายจ้างมีพนักงานที่มีความสามารถในบางสาขา แล้วมาใช้โปรแกรมเอไอนี้ แทนที่จะต้องจ้างบัณฑิตจบใหม่ทำงานด้านนั้นเกือบสิบคน นายจ้างอาจสามารถจ้างบัณฑิตที่ยังไม่มีประสบการณ์เพียงไม่กี่คน มาเรียนรู้งานและมาทำงานร่วมกับเอไอ เพื่อเรียนรู้การทำงานในรูปแบบใหม่

คำถามที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ บัณฑิตที่เพิ่งจบการศึกษา ในสาขาต่าง ๆ แม้แต่สาขาอย่างสายงานไอทีและวิทยาศาสตร์ข้อมูล จะต้องปรับกระบวนท่าอย่างไรเพื่อความอยู่รอดในสนามแข่งขันที่กฎกติกาเปลี่ยนไปแทบจะรายวัน

แม้ข้อมูลสภาพัฒน์ฯ ที่ได้แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 และภาพรวม ปี 2567 ในส่วนสถานการณ์แรงงาน พบว่ามีผู้ว่างงานไตรมาสสี่ ปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.6 แสนคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบใหม่อายุ 20-24 ปี โดยการว่างงานเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มที่เคยและไม่เคยทำงานมาก่อน

แต่บัณฑิตในยุคนี้กำลังเผชิญกับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “พายุที่สมบูรณ์แบบ” สองระลอกใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ระลอกแรกคือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเอไอและการมุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่ทำให้เอไอและระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนที่งานที่มีลักษณะซ้ำซาก

ระลอกที่สอง คือ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินต่อไปในอีก 1-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเราจะเริ่มเห็นภาพการชะลอตัวของหลาย ๆ อุตสาหกรรมและหลายบริษัท และในภาวะเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ องค์กรต่าง ๆ อาจมีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เร็วขึ้นเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่อีกทางหนึ่ง

ปัญหาที่หยั่งรากลึกและเป็นประเด็นสำคัญมาโดยตลอดคือ “ทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด” บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีกลับเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างสิ่งที่บัณฑิตได้รับการบ่มเพาะจากสถาบันการศึกษากับทักษะที่นายจ้างและตลาดแรงงานยุคใหม่ต้องการอย่างแท้จริง นายจ้างจำนวนไม่น้อยมองว่าเด็กจบใหม่ยังขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง ขาดทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ และขาดชุดทักษะที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้น ๆ

หากสถานการณ์ที่บัณฑิตจบใหม่จำนวนมากไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างราบรื่น หรือจำเป็นต้องทำงานต่ำกว่าระดับความรู้ความสามารถของตนเองเป็นเวลานาน ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและทันท่วงที สังคมไทยอาจต้องเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า นั่นคือการก่อตัวของ “คนรุ่นที่สูญหาย” หรือ “Lost Generation” ของคนหนุ่มสาวที่มีความรู้ความสามารถ แต่กลับไม่ได้รับโอกาสในการใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตัวบัณฑิตและครอบครัวเท่านั้น แต่ยังกัดกร่อนโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว

ดังนั้นบัณฑิตจบใหม่และผู้ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงและเตรียมพร้อมปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและเรียนรู้ตลอดชีวิต กลายเป็นเรื่องจำเป็นโดยเฉพาะการมุ่งเน้นเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งทักษะดิจิทัล เอไอ การวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงทักษะด้านอารมณ์และสังคม สำหรับผู้ที่อยู่ในสายงานเทคโนโลยี

การสร้างความเข้าใจในหลักการพื้นฐาน คณิตศาสตร์ และอัลกอริทึมอย่างถ่องแท้ จะเป็นข้อได้เปรียบที่เอไอยากจะเลียนแบบ

ขณะเดียวกัน “ทักษะความเป็นมนุษย์” เช่น ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารที่ซับซ้อน ความฉลาดทางอารมณ์ และการมีจริยธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์ยังโดดเด่นและแตกต่างจากเอไอ

ยุคสมัยที่เอไอกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การทำงานไปอย่างสิ้นเชิง คุณค่า “ปริญญาบัตร” เพียงอย่างเดียวอาจไม่พอที่จะเป็นหลักประกันความสำเร็จอีกต่อไป แต่เป็น “ชุดทักษะที่แท้จริงและรอบด้าน” ความสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในงานที่ทำต่างหาก ที่จะเป็นทั้งเกราะป้องกัน และอาวุธสำคัญ ช่วยให้บัณฑิตไทยสามารถยืนหยัดและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางคลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงอนาคตที่เราอาจต้องเสียดายกับศักยภาพที่สูญเปล่าของ “คนรุ่นใหม่” ของเรา

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1181882

 


ตำรา