Fed เปลี่ยนทิศ จีนคุมสงครามราคา ไทย GDP ดีเกินคาด ลงทุนอย่างไร
By ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX

- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณอาจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เพื่อรับมือความเสี่ยงตลาดแรงงาน แต่ถูกมองว่าเป็นการยอมต่อแรงกดดันทางการเมืองซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงเงินเฟ้อในอนาคต
- จีนเริ่มใช้นโยบาย "Anti-Involution" เพื่อควบคุมสงครามราคาโดยการตั้งราคาขั้นต่ำ ซึ่งคาดว่าจะช่วยฟื้นฟูอัตรากำไรและเป็นผลดีต่อการลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ของจีน
- เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2568 ขยายตัว 2.8% สูงกว่าที่คาดการณ์ แต่คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในครึ่งปีหลัง โดยทั้งปีคาดว่าจะเติบโตเพียง 1.8% เนื่องจากเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน
- กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ "Selective Buy" เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยโลก แต่ยังถูกจำกัดด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ
- แนะนำลงทุนใน 2 ธีมหลัก: หุ้นเติบโตดีครึ่งปีหลัง (Earning Play) เช่น ADVANC, GULF, SCC และหุ้นปันผลคุณภาพ เช่น PTT, SIRI รวมถึงธีมเทรดดิ้งสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้ เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง (กลุ่ม REITs, อสังหาฯ, โรงไฟฟ้า)
ตลาดการเงินโลกเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญหลังการแถลงข่าวของประธานธนาคารกลาง (Fed) ที่ Jackson Hole ท่ามกลางการปรับตัวของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ในขณะเดียวกันนักลงทุนก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและโอกาสใหม่ในตลาดจีน สถานการณ์เหล่านี้ต้องการกลยุทธ์การลงทุนที่มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเป็นจริงใหม่
ประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนในงานสัมมนา Jackson Hole Economic Symposium เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เนื่องจากความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง สิ่งที่น่าสนใจคือ พาวเวลล์มองว่าผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียง “การเปลี่ยนระดับราคาแบบครั้งเดียว” (one-time price level shift) ไม่ใช่แรงกดดันเงินเฟ้อต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการตัดสินใจนี้เป็นการยอมโอนอ่อนต่อแรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ความเป็นอิสระของธนาคารกลางลดลง และทำให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น โดย Yale Budget Lab มองว่าการปรับขึ้นภาษีการค้าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.8% (p.p.) จากกรณีฐานในระยะสั้น ขณะที่เรามองว่าเงินเฟ้อจะขึ้นสู่ 3.6% ในช่วงสิ้นปี จากปัจจุบันที่ 2.7% ซึ่งจะทำให้ Fed ต้องเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินในปี 2026 ทั้งนี้ เราคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนก.ย. และ ต.ค. แต่แรงกดดันเงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4 ปี
ด้านจีน นโยบาย Anti-Involution ของจีนเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการแข่งขันแบบทำลายล้าง (หรือสงครามราคา) ที่เกิดจากการผลิตเกินความต้องการอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดเงินฝืดติดต่อกัน 32 เดือนและราคาสินค้าอุตสาหกรรมลดลงใน 25 จาก 30 ภาคส่วน การแข่งขันแบบทำลายล้างนี้เห็นได้ชัดจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในราคาต่ำกว่า 8,000 ดอลลาร์ และร้านกาแฟที่ขายเครื่องดื่มเพียง 1 หยวน โดยนโยบายนี้เป็นการตั้งราคาขั้นต่ำ (Floor) ของสินค้าต่าง ๆ ดังนั้นผู้ผลิตจะขายสินค้าได้ก็ต่อเมื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้นจนเป็นการดึงดูดใจผู้ซื้อ
เรามองว่า นโยบาย Anti-Involution นี้ อาจสามารถฟื้นฟูอัตรากำไรได้เหมือนการปฏิรูปโครงสร้างฝ่ายอุปทานช่วง 2015-2017 ที่รัฐบาลพยายามคุมปริมาณการผลิตเหล็กผ่านการคุมโควต้าในบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ แต่ในครั้งนี้ การใช้นโยบายนี้ท้าทายกว่าเดิมเนื่องจากอุตสาหกรรมที่เป็นปัญหาถูกควบคุมโดยบริษัทเอกชนที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่ควบคุมได้ง่าย อย่างไรก็ตาม เรามองว่านโยบายน่าจะสำเร็จบางส่วนเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนในหุ้นจีน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสายป่านยาว แต่จะเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม เนื่องจากเอื้อประโยชน์ให้บริษัทขนาดใหญ่มากกว่าขนาดเล็ก และอาจทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
ด้านเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2025 ขยายตัวที่ 2.8% ต่อปี สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.5% แต่ชะลอลงจาก 3.1% ต่อปี ในไตรมาสแรก ผลจากแรงหนุนจากการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ (Frontload) ก่อนการขึ้นภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป เรามองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงสำคัญ 4 ด้าน คือ (1) สัญญาณเศรษฐกิจชะลอลง เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน (2) ความผันผวนทางการเงินที่มีมากขึ้น จากนโยบายการเงินสหรัฐที่คาดการณ์ยาก (3) สินค้าคงคลัง มีแนวโน้มจะกลับมาหดตัวอีกครั้งในครึ่งปีหลัง หลังจากการส่งออกจะเริ่มกลับมาหดตัว และ (4) ภาคการเกษตร เสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรโลกที่ผันผวนและผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอรุนแรงครึ่งปีหลัง โดยยังคงมองว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2025 ขยายตัวได้ 1.8% โดยครึ่งปีแรกขยายตัวประมาณ 3% แต่ครึ่งปีหลังจะชะลอลงมาก ในไตรมาส 3 GDP จะขยายตัวได้เพียง 1.0% และลดลงเหลือ 0.1% ในไตรมาส 4
ในส่วนกลยุทธการลงทุน เรามองว่า แม้ดัชนี SET มีโอกาสปรับขึ้นตามตลาดโลกหลัง Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังจำกัด upside โดยเฉพาะการรอฟังคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญเรื่องคลิปเสียงนายกฯ ในวันที่ 29 ส.ค. ด้วยเหตุนี้เราแนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” โดยแบ่งเป็น 2 ธีมหลักคือ (1) หุ้น Earning Play ที่มีแนวโน้มเติบโตดีครึ่งปีหลัง ได้แก่ ADVANC, BCPG, GULF, SCC และ TIDLOR และ (2) หุ้นปันผลคุณภาพที่ให้ผลตอบแทนเกิน 2% ได้แก่ PTT, SIRI, HMPRO และ TTB พร้อมทั้ง 3 ธีมเทรดดิ้งสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ได้แก่ (1) หุ้น Laggard Play อย่าง BDMS, CPALL, MTC และ WHA, (2) หุ้น Global Play อย่าง SCC และ HANA และ (3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลงในกลุ่ม REITs, อสังหาฯ, เช่าซื้อ และโรงไฟฟ้า
ขอให้นักลงทุนโชคดี
*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/stock/1195970