สรุปงบหุ้นแบงก์ 2Q23
กำไรไตรมาส 2/2566 ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 4.957 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 22% YoY เป็นตามประมาณการของเรา แต่ดีกว่าของตลาด 4%
TISCO TTB KTB และ BBL ทำผลงานได้ดี แต่ของ SCB และ KKP ยังสร้างความกังวลต่อคุณภาพสินทรัพย์ สินเชื่อเช่าซื้อและส่วนบุคคลมีความเปราะบางมากขึ้น
มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของ ธปท. อาจกระทบกลุ่มธนาคารค่อนข้างจำกัด คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม โดยมี KTB และ BBL เป็นหุ้นเด่นของเรา
กลยุทธ์การลงทุน
ผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ของกลุ่มธนาคารเป็นไปตามคาด ธนาคาร 7 แห่งภายใต้การวิเคราะห์ของเรารายงานกำไรรวมไตรมาส 2/2566 ที่ 4.957 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 22% YoY สอดคล้องกับประมาณการของเรา แต่ดีกว่าของตลาด 4% TISCO และ TTB รายงานกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่มีเพียง KKP เท่านั้นที่รายงานกำไรต่ำกว่าคาดจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่สูง ส่วนที่เหลือเป็นไปตามที่คาด ขณะที่ในไตรมาส 2/2566 ทุกธนาคารรายงานส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่น่าประทับใจตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้นและต้นทุนเงินฝากที่ควบคุมได้ดี ขณะเดียวกัน รายได้ทีไม่ใช่ดอกเบี้ย (non-NII) ดีกว่าที่คาดไว้จากธุรกิจขายประกันชีวิตผ่านธนาคารพาณิชย์ (bancassurance) และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน ยิ่งไปกว่านั้น ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) สูงกว่าคาดเล็กน้อยจากการตั้งสำรองอย่างรอบคอบของ BBL และ หนี้เสีย (NPL) ของ KKP ที่สูง อัตราส่วนหนี้เสีย (NPL ratio) ไตรมาส 2/2566 ลดลงเป็น 3.4% จาก 3.6% ในไตรมาส 1/2566 จาก NPL ที่ลดลงของ BBL KTB และ TTB เป็นหลัก ขณะที่ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงอัตราสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) ไว้ในระดับสูง
เริ่มเห็นความแตกต่างของคุณภาพสินทรัพย์ ในไตรมาสนี้ เราเริ่มเห็นธนาคารที่มีการอนุมัติสินเชื่อแบบอนุรักษ์นิยมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอย่าง TISCO BBL TTB และ KTB ยังคงสามารถควบคุม credit cost และ NPL ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสวนทางกับ SCB และ KKP ที่รายงานคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลง เราร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ของ TISCO TTB KBANK และ SCB และแนวทางของผู้บริหารส่วนใหญ่คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ราบรื่น และสินเชื่อที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อ (HP) และสินเชื่อ SME ขณะที่ TISCO และ TTB ดูเหมือนจะมีมุมมองเชิงบวกด้านคุณภาพสินทรัพย์มากขึ้น ส่วน SCB คาดว่าความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อยจะสูงขึ้น และต้องเผชิญกับความยากลำบากในการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้ CardX หากรวมกับผลประกอบการไตรมาส 2/2566 หุ้นเด่นของเรายังคงเป็น KTB TTB และ BBL ขณะที่เรามีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นต่อ SCB และ KKP จากคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงในครึ่งหลังของปี 2566
นโยบายของ ธปท. อาจมีผลกับผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดย ธปท.เล็งลดจำนวนลูกค้าหนี้เรื้อรัง (PD) โดยเสนอให้ธนาคารและลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้พร้อมลดอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้ที่เป็นเป้าหมายหลักกำลังใช้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล และชำระคืนเฉพาะค่าเรียกเก็บขั้นต่ำ ขณะที่สินเชื่อระยะยาวอย่าง การจำนอง สินเชื่อ HP สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ อาจไม่จัดอยู่ในหมวด PD เราจึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนสินเชื่อของธนาคารและลูกค้าเพียงเล็กน้อยจากสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ต่ำ ขณะที่ AEONTS และ KTC เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าในกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank)
มุมมอง KS
เราคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคาร โดยมี KTB และ BBL เป็นหุ้นเด่น แทนที่ TTB เนื่องจากความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่แข็งแกร่งของ TTB ทำให้มีโอกาสเกิด upside น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ BBL ขณะที่เราปรับประมาณการกำไรปี 2566-68 ของ BBL ขึ้นเล็กน้อย 1-3% เพื่อสะท้อนอัตราส่วนต้นทุน/รายได้ที่ต่ำกว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2566
เราเพิ่มราคาเป้าหมายของ 1) BAY เป็น 32 บาท จาก 31 บาท 2) BBL เป็น 196 บาท จาก 183.5 บาท และ 3) TISCO เป็น 124 บาท จาก 123 บาท โดยเราปรับปีฐานราคาเป้าหมายจากสิ้นปี 2566 ไปเป็นกลางปี 2567 ขณะเดียวกัน เรากำลังประมาณการ KKP ของเราอยู่ระหว่างการทบทวน
