ห้องเม่าปีกเหล็ก

MAKRO ห้างค้าส่งของกลุ่มซีพี กับการเติบโตที่เหนือคู่แข่ง

โดย poomai
เผยแพร่ :
79 views

MAKRO ห้างค้าส่งของกลุ่มซีพี กับการเติบโตที่เหนือคู่แข่ง

“แม็คโคร” ชื่อนี้ที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก เพราะถือเป็นห้างสรรพสินค้าที่ต่างได้รับการยอมรับสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าประเภทยกแพ็ค นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่หลากหลายตอบโจทย์ทั้งแม่ค้า หรือผู้ที่ต้องการลงมือทำอาหารด้วย เพราะมีวัตถุดิบที่เรียกได้ว่า อยากได้อะไร “แม็คโคร” มีให้ท่านเสมอ


แม็คโคร ภายใต้ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO จดทะเบียนจัดตั้งในเดือนพฤษภาคม 2531 ด้วยทุนจดทะเบียน 750 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบขายส่งในระบบสมาชิก ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” โดยได้ดำเนินการขยายจำนวนสาขาเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ลูกค้าสมาชิกและผู้ประกอบการ ทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มผู้ค้าปลีกรายย่อย กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจจัดเลี้ยง รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจบริการ ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ หรือสถาบันการศึกษาและธุรกิจอื่น ๆ


แม็คโคร มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท สยามแม็คโคร โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นจำนวน2,640,302,800 หุ้น คิดเป็นอัตราส่วน 55.01% ตามด้วย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นจำนวน 1,827,598,700 หุ้น คิดเป็นอัตราส่วน 38.07%


แม็คโคร ถือเป็นหุ้นค้าส่ง ค้าปลีก ระดับต้นๆของประเทศไทย ซึ่งเน้นขายสินค้าประเภทยกแพ็คทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในช่วงปี 61 จนถึงครึ่งปีแรกของปี 63 เคลื่อนไหวในระดับไม่เกิน 12% ส่วนอัตรากำไรสุทธิก็เช่นเดียวกันเคลื่อนไหวในกรอบระดับ 2-3% กว่าๆในช่วงเวลาเดียวกัน


แม้ตัวเลขอัตราการทำกำไรจะไม่สูงมากนัก แต่ถ้าดูตัวเลขของรายได้แล้ว แม็คโคร ทำได้อยู่ในระดับที่ระดับสูงเลยก็ว่าได้ โดยในช่วงปี 59-62 ทำรายได้อยู่ในช่วง 1.7-2.1 แสนล้านบาท ขณะที่สิ้นปี 62 ถือเป็นหุ้นที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 9 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยทีเดียว และรอบ 6 เดือนปี 63 ทำรายได้อยู่ที่ 107,537.73 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 8 ของตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย


ส่วนตัวเลขของเงินปันผลย้อนหลังในช่วง ปี 57-61 มีการจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับที่สูงกว่านโยบายกำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ โดยในช่วงดังกล่าวมีอัตราการจ่ายเงินปันผลระดับ 75.10 - 77.50% ส่วนปี 62 มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.56 บาท และล่าสุดงวดครึ่งปีแรกจ่ายเงินปันหุ้นหุ้นละ 0.40 บาท


แม็คโคร ถือว่า เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในธุรกิจค้าส่งสมัยใหม่ประเภทอาหาร (Modern-Trade Food Wholesale) ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างจากผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่รายอื่น โดยจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้ง ค้าปลีกรายย่อยแบบดั้งเดิม ผู้จัดจำหน่าย ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง รวมถึงลูกค้าที่เป็นองค์กร เป็นต้น


แต่การเกิดขึ้นของคู่แข่งใหม่ๆ ที่มารุกตลาดค้าส่งอย่างห้างชื่อดัง ที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น ทำให้แม็คโคร ต้องปรับตัว โดยใช้แพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ออฟไลน์สู่ออนไลน์ (Offline to Online Ecosystem) หรือ “O2O” อย่างเป็นทางการ เพื่อเชื่อมต่อช่องทางการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ แบบครบวงจร ทั้ง Makroclick.com แม็คโครแอพพลิเคชัน (Makro Application) การขายเชื่อและจัดส่ง (Credit and Delivery) และ Makro Line Official เป็นต้น


รวมทั้งยังมี มีการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองด้วย อาทิ เอโร่ (aro) เอ็มแอนด์เค (M&K) เซฟแพ็ค (Savepak) โปรเทค (Protech) และ คิว - บิซ (Q-BIZ)  นอกจากนี้แม็คโครยังมีสินค้าภายใต้แบรนด์ของกลุ่มธุรกิจ Food Service APME อีกด้วย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร ได้แก่ Carne Meats (ไส้กรอกพรีเมี่ยม) Ocean Gems (อาหารทะเล)MASTERPIECE (ติ่มซำฮาลาล) และ C’est Bon! (ขนมหวาน) ด้วย


โดยสิ้นปี 62 แม็คโคร มีลูกค้าสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อยกว่า 700,000 รายทั่วประเทศ ซึ่งจากจุดเริ่มต้นจากการประกอบธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้ารูปแบบชำระเงินสดและบริการตนเอง หรือ Cash & Carry สู่รูปแบบธุรกิจที่มีความหลากหลาย เช่น การมีศูนย์จำหน่ายสินค้าและบริการหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน


นอกจากนี้ยังมีการพัฒนารูปแบบสาขาให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์จำหน่ายสินค้า 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.รูปแบบคลาสสิก  เพื่อผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย 2.รูปแบบอีโค พลัส 3.รูปแบบฟูดเซอร์วิส 4.รูปแบบฟูดช้อป และ 5.ร้านสยามโฟรเซ่น ซึ่งครอบคลุมกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อยลูกค้าธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร และผู้ให้บริการจัดเลี้ยง (กลุ่มโฮเรก้า) ลูกค้ากลุ่มธุรกิจ บริการ และอื่น ๆ


โดยธุรกิจหลัก คือ การดำเนินธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสดและบริการตนเอง ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทย ณ สิ้นปี ครึ่งปีแรกของปี 2563 บริษัทมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 136 สาขาทั่วประเทศไทย  รวมถึงศูนย์จำหน่ายสินค้าในต่างประเทศอีก 8 สาขา อาทิ แม็คโครในประเทศกัมพูชา 2 สาขา ในประเทศอินเดีย 3 สาขาภายใต้ชื่อ Lots Wholesale Solutions และอีก 1 สาขา ในประเทศจีน เมียนมา 1 สาขา รวมทั้งยังมีร้านอาหาร/ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 สาขา


อย่างที่ชัดเจนแล้วว่า ในข้อมูลดังกล่าว การเติบโตของ แม็คโคร ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย โดยมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโต และแม็คโครเอง ยังได้มุ่งเน้นเป็นที่หนึ่งในอาเซียนเรื่องจัดหาสินค้าเพื่อธุรกิจอาหารแบบครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการมืออาชีพ

ธุรกิจในต่างประเทศอาจจะถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับแผนการขยายสาขา (ซึ่งยังถูกจำกัดโดยสถานการณ์โรคระบาด) ซึ่งบริษัทมีแผนจะเพิ่มฐานลูกค้าเพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น ทั้งนี้ กิจการในต่างประเทศยังคงส่งผลขาดทุนสุทธิมาที่ MAKRO ประมาณ 200 ล้านบาทในไตรมาส 2/63 ใกล้เคียงกับในไตรมาส 1/63 ภายใต้มุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด


ล่าสุดมีโครงการกระตุ้นบริโภค 5.1 หมื่นล้านบาท ของภาครับออกกมาเพื่อกรตุ้นผู้บริโภค โดยครอบคลุม 24 ล้านคน ผ่านโครงการคนละครึ่ง (รวม 3,000 บาท/คน) และบัตรคนจน (เพิ่มเงินซื้อของ 1,500 บาทในช่วงต.ค.-ธ.ค.63) โดยมาตรการที่ออกมาจำกัดสิทธิ์ให้ใช้ร้านค้าปลีกรายย่อยเป็นหลัก โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองว่า MAKRO จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นร้านโชห่วยและผู้ประกอบการรายย่อย


ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มองว่า  MAKRO คือธุรกิจต้านทานยามมีวิกฤต โดยในครึ่งปีแรกของปี 63 มูลค่าหุ้นยังถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบในกลุ่มค้าปลีก ในระยะสั้นคาดราคาหุ้น rebound ได้ ในช่วง 10% บน PER ไม่เกิน 30 เท่า หรือหมายถึงราคาหุ้นที่ 45 บาท


ขณะที่ยอดขายต่อสาขาเดิม ยังเป็นบวกคาดราว 4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บวกติดต่อกันจาก พ.ค. - มิ.ย. 63 ดังนั้นผลประกอบการในไตรมาส 3/63 มีแนวโน้มดีขึ้นจากไตรมาส 2/63 อย่างชัดเจน เนื่องจากดำเนินธุรกิจกลับมาปกติมากขึ้น, สาขาใหม่ที่เปิดในไตรมาส 2/63, และควบคุมต้นทุน-ค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง ส่วนแผนธุรกิจปี 63 คาดรายได้ทรงตัวจากปี 62 และคาดหวังน้อยต่อฤดูกาลบวกของปีในไตรมาส 4/63 โดยผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารจัดการ margins ทั้งนี้บริษัทยังคงมีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


poomai