ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นแบงก์เตรียมรับมือ!!

โดย dave
เผยแพร่ :
77 views

หุ้นแบงก์เตรียมรับมือ!! คาดผลกระทบ Covid-19 เห็นผลไตรมาส 4/63

หลังจากที่มีนักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งออกมาให้สัมภาษณ์ว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจและมีความเสี่ยงที่จะล้มลายนั้น ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มธนาคารถูกเทขายอย่างหนัก ซึ่งประเด็นดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาชี้แจงว่า ฐานะการดำเนินงานและเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งยังแข็งแกร่ง สามารถรองรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่เกิดจาก Covid-19 ได้ นอกจากนี้ ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีเงินสำรองส่วนเกินสูง จากนโยบายกันสำรองอย่างเข้มงวดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยสิ้นเดือนมิ.ย. 63 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ระดับสูงถึง 19.2%


ปัจจุบันแม้ฐานะการเงินของกลุ่มธนาคารยังแข็งแกร่งแต่กำไรสุทธิมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ของกลุ่มธนาคารที่ลดลง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น แม้จะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมาก แต่นักวิเคราะห์มองว่ายังไม่สะท้อนผลกระทบจาก Covid-19 ขณะเดียวกันก็คาดว่าไตรมาส 3/63 ถึงไตรมาส 4/63 จะเป็นช่วงที่ผลกระทบถูกสะท้อนออกมา ทำให้กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารถึงจุดต่ำสุด!!

 

 

คาดผลกระทบ Covid-19 สะท้อนในไตรมาส 4/63

“ธนภัทร ฉัตรเสถียร” ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด ให้ความเห็นในรายการ ‘Wealthy Talk’ ว่า ประเมินงบครึ่งปีหลังกลุ่มธนาคารจะปรับตัวลงต่ำกว่าไตรมาส 2/63 ซึ่งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ธปท. ออกมามีลูกหนี้เข้าร่วมโครงการจำนวนมาก โดยมูลหนี้ล่าสุดอยู่ที่ 6.88 ล้านล้านบาท ระยะยาวสุดของโครงการนี้คือ 6 เดือน ลูกหนี้กลุ่มนี้พอหมดโครงการต้องมาดูว่าใครมีความสามารถผ่อนชำระต่อได้ ซึ่งความเห็นของผู้บริหารธนาคารส่วนใหญ่ประเมินว่า จำนวนลูกหนี้ที่จะกลายเป็นหนี้เสีย หรือ NPL อยู่ที่ราว 10% ของจำนวนลูกหนี้ที่เข้าของโครงการของแต่ละธนาคาร


ทั้งนี้ ตัวเลขไตรมาส 2/63 ยังไม่ได้สะท้อนผลประกอบการจาก Covid-19 เลย เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการพักชำระหนี้ออกมาช่วยลูกหนี้ ซึ่งหากดูตัวเลข NPL แม้จะอยู่ในระดับสูงถึง 520,451 ล้านบาท แต่เป็นการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 4.8% จากไตรมาส 1/63 ที่อยู่ที่ 496,632 ล้านบาท ซึ่งธนาคารก็มีการตั้งสำรองล่วงหน้าระดับหนึ่งเพื่อรับมือสถานการณ์ในอนาคต โดยคาดว่าผลกระทบที่แท้จริงจาก Covid-19 จะสะท้อนในเห็นในช่วงไตรมาส 3/63 หรือไตรมาส 4/63 (เดือนก.ย.- ต.ล. 63)


นอกจากจาก ปัจจัยลบด้าน NPL แล้ว ธนาคารยังมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ ที่เข้ามากดดันด้วยทั้ง สินเชื่อไม่เติบโต, ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ลดลง รวมถึงยอดขายผลิตภัณฑ์กองทุนหรือประกันที่ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ยังมองว่า NPL เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของธนาคารมากกว่าปัจจัยอื่น  

 

 

เลือก BBL เป็น Top pick ของกลุ่มฯ

จากราคาหุ้นที่ปรับลงมาต่ำ ทำให้ Price to Book ของหุ้นกลุ่มธนาคารอยู่ที่ระดับต่ำเพียง 0.4 เท่า หากนักลงทุนสนใจเข้าลงทุน แนะนให้รอจุดต่ำสุดหรือรอภาพการลงทุนที่ชัดเจนในช่วงประกาศงบการเงินไตรมาส 4/63 นอกจากนี้ หากงบการเงินออกมา ตัวเลข NPL อยู่ในระดับที่ไม่แย่ก็เป็นจุดที่เข้าลงทุนได้เช่นกัน


สำหรับหุ้นแนะนำเลือก BBL เพราะมีสัดส่วนลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้เอสเอ็มอีซึ่งได้รับผลกระทบจาก Covid-19 น้อยมากส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้รายใหญ่ ทำให้ความเสี่ยงน้อยกว่า อีกทั้วสำรองหนี้ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับธนาคารอื่น ส่วนมูลค่าทางบัญชี (Price to Book) ก็ยังมี discount อยู่ ในทางกลับกันธนาคารที่สัดส่วนลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอีค่อนข้างมาก ก็มีความเสี่ยงจากลูกหนี้ที่เข้ามตรการพักชำระหนี้ เช่น KBANK และ SCB

ประเด็นน่าสนใจเดือนก.ค.

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงประเด็นที่น่าสนใจในงบดุลเดือนก.ค. 63 ว่า หลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวในเดือนพ.ค. – มิ.ย. หลังช่วงปิดเมืองล็อคดาวน์ในเดือนเม.ย. งบดุลธนาคารเดือนก.ค. ก็เริ่มทรงตัวทั้งสถานะการลงทุนและสินเชื่อ โดยกิจกรรมด้านลงทุนเพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนมิ.ย. (MoM) แต่ลดลง 4% YTD ซึ่งมีเพียง BAY และ BBL เท่านั้นที่สถานะการลงทุนเพิ่มขึ้น MoM (+5.5% และ +3.5%) ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมทรงตัวถึงลดลงเล็กน้อย MoM โดยมีเพียง KKP เท่านั้นที่ยังดำเนินกิจกรรมการปล่อยกู้ อย่างคึกคัก (+2% MoM และ +8% YTD)


โดยธนาคารไทยยังมีสภาพคล่องเต็มเปี่ยม เพิ่มขึ้นอีก 0.7% MoM และ 9% YTD ธนาคารส่วนใหญ่มีฐานเงินฝากใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะ KTB (+3% MoM และ +12% YTD) และ SCB (+3% MoM และ +8% YTD) ในขณะที่ฐานเงินฝากของ BAY และ TISCO เพิ่มขึ้น 2% MoM ทั้งคู่ ซึ่งสะท้อนถึงการโยกเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงมาอยู่ในรูปเงินฝาก และความเชื่อมั่นในการฝากเงินกับธนาคาร

 

 

คุณภาพสินทรัพย์ยังไม่แน่นอน

โครงการผ่อนผันหนี้ในปัจจุบันให้จัดชั้นเป็นปกติ (performing loan) และอาจจะกลายมาเป็นความเสี่ยง NPL ได้ในอนาคต ซึ่งจากข้อมูลที่ธนาคารบางแห่งเปิดเผยออกมา สัดส่วนของหนี้ที่เข้าโครงการผ่อนผันต่อสินเชื่อรวมของ TMB สูงสุดอยู่ที่ 42% รองลงมาคือ BANK ที่ 39% SCB ที่ 32% และ BAY ที่ 29% ในขณะที่ของ TISCO อยู่ที่ 20% และของ BBL ที่อยู่ในระดับต่ำอย่างไม่มีนัยสำคัญ (จากการเปิดเผยของธนาคาร) ทั้งนี้ ธนาคารส่วนใหญ่มองว่าหนี้ในโครงการประมาณ 70-80% น่าจะกลับมาชำระค่างวดได้ตามปกติ และมีประมาณ 10% ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะกลายมาเป็น NPL ซึ่งหากนำตัวเลขนี้เข้ามารวมเป็น จะทำให้ NPL เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปีนี้ และธนาคารต่างๆ จะต้องกันสำรองเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 63 ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 63 ของทั้งกลุ่มลดลง 45% (กำไรสุทธิกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีแรกลดลง 28%)

 

 

ปัจจัยลบมีน้ำหนักมากกว่า

ถึงแม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และค่า PE ต่ำ แต่กระแสข่าวลบจากประเด็น NPL และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจนก็จะยังคงกดดันผลประกอบการและจำกัด upside ของหุ้นกลุ่มธนาคารต่อไป gikยังคงคำให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มธนาคารที่ Neutral โดยชอบ TISCO มากกว่าเพื่อนในแง่ที่ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคุม NPL อยู่ได้ และมีสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 สูงถึงเกือบ 18% (CAR สูงถึง 21%)



ปัจจุบันตัวเลข NPL ที่ออกมายังไม่สะท้อนภาพความเป็นจริง  ซึ่งต้องติดตามว่าหลังจากมาตรการพักชำระหนี้จบลง ลูกหนี้ของแต่ละธนาคารจะสามารถกลับมาชำระหนี้ได้มากน้อยเพียงใด และตัวเลข NPL จะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave